ในบรรดาผู้นำประเทศยุคนี้ จะหาใครซ่า กร่าง สุดยอดเฮ้าเลี่ยน เท่าโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ คงไม่มีอีกแล้ว เพราะท่าทีลีลาหลายแบบ อยู่ในระดับ “บ้า” นั่นเลย
ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลทหารวอลเตอร์รีด ด้วยโรคโคโรนาไวรัส อาการไม่รู้ชัดว่าหนักหนาสาหัสอย่างไร แพทย์ก็อ้ำๆ อึ้งๆ ปล่อยให้สื่อและชาวบ้านคาดการณ์ต่างๆ นานา นายทรัมป์บ้าก็ซ่าหนัก ไปนั่งรถสั่งให้เจ้าหน้าที่ขับวนโชว์อาการ
ทรัมป์โบกมือหยอยๆ ทักทายชาวบ้าน ที่ไปเฝ้าดูอาการ ส่งกำลังใจช่วยท่านผู้นำภายในโรงพยาบาล โดยต้องการแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่เป็นอะไร
ทรัมป์ติดเชื้อเพราะการไม่ใส่ใจสวมหน้ากากอนามัย ทิ้งระยะห่าง ทำให้คุณนายหมายเลข 1 ต้องพลอยลำบากตามไปด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวต้องผวา เพราะที่ทำงานและบ้านของผู้นำได้กลายเป็นแหล่งใหญ่แพร่เชื้อโรคไปแล้ว
การอวดเก่ง นั่งรถโชว์ ทั้งๆ ที่แพทย์แนะนำว่าไม่ควรทำนั้นเป็นเรื่องที่ทรัมป์ต้องการเอาชนะ ให้เห็นว่าโรคร้ายไม่สามารถทำอะไรตัวเองได้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไปถามคนที่คุ้นเคยว่า “ตัวเองจะต้องตายเหมือนเพื่อนคนหนึ่งหรือไม่”
เป็นการไร้สติ ไม่รับผิดชอบ หรือห่วงว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและพนักงานขับรถต้องเสี่ยงติดเชื้อไปด้วย เพราะรู้ชัดแล้วว่าทรัมป์ป่วยด้วยโรคร้ายแรง เป็นผลของการไม่ระวังตัว ไม่ใส่ใจป้องกันด้วยการสวมหน้ากากอนามัย
ความอวดเก่ง อวดดี ยโสโอหังของทรัมป์ ทำให้คนอเมริกันต้องติดเชื้อกว่า 7.5 ล้านคน ตายกว่า 2 แสน และยังไม่มีทีท่าว่าจะเอาอยู่ แม้แต่ทรัมป์ก็ต้องเป็นหนูทดลองยาหลายขนาน ยังไม่ผ่านการรับรองของหน่วยงานอาหารและยา หรือ FDA
คณะแพทย์แถลงข่าวไป 2 รอบ มีแต่ความกำกวม อ้ำอึ้ง เลี่ยงตอบคำถาม ทุกวันนี้ยังไม่มีใครระบุว่าทรัมป์ติดเชื้อตั้งแต่วันไหน ตรวจพบจริงๆ เมื่อไหร่ ไม่มีใครชี้ว่าทรัมป์ติดจากที่ปรึกษาแสนสวย โฮป ฮิคส์ หรือ ฮิคส์ ติดจากทรัมป์กันแน่
ช่วงการแถลงข่าวมีคนวงการสื่อ วงการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ มาดูอาการของทรัมป์ หลังจากนั้นมีการประเมินคำชี้แจงของหมอและเหตุผลว่าเข้าท่าหรือไม่ ส่วนใหญ่ตอบว่าแพทย์ต้องระวัง และอยากรู้ว่าได้รักษาอย่างไร
ทำเนียบขาวจัดงานเลี้ยงแถลงข่าวแต่งตั้งตุลาการศาลสูงปลายเดือนที่ผ่านมา มีคนพรรครีพับลิกันไปร่วมงานเยอะ แต่พวกสวมหน้ากากอนามัยเป็นส่วนน้อย
ไม่แน่ชัดว่าวันนั้นเป็นจุดความเสี่ยงต่อการระบาดเกี่ยวโยงทรัมป์หรือไม่
เพราะมีข่าวช่วงแรกว่าทรัมป์มีเชื้อตั้งแต่ก่อนวันพุธหลังวันดีเบต แต่ตรวจภาวะเป็นบวกวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เข้าโรงพยาบาลวันศุกร์ หลังจากมีอาการหอบ เหนื่อย มีไข้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่มีข่าวว่าฮิคส์ตรวจพบการติดเชื้อวันพฤหัสบดี
แพทย์ประจำทำเนียบขาว หมอฌอน คอนลีย์ เลี่ยงคำถามเรื่องการให้ออกซิเจนทรัมป์ ท่าทางหลุกหลิก ทำเป็นหน้าตายิ้มแย้ม ขัดกับคำพูดของหัวหน้าคณะสำนักงานทำเนียบขาว นายมาร์ค มีโดว์สว่า “อาการของทรัมป์น่าเป็นห่วง”
การแถลงข่าวอย่างนั้น ทำให้ทรัมป์โวยวายใส่นายมีโดว์ส เพราะตัวเองอ้างว่าสุขภาพดี ไม่มีปัญหา รวมทั้งคุณนายเบอร์หนึ่งด้วย ทั้งๆ ที่แพทย์ทั่วไปยืนยันว่าการที่ทรัมป์ต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างนี้ ถือว่าอาการป่วยไม่ธรรมดาแน่นอน
ทรัมป์พยายามแสดงออกและแถลงข่าวเองว่าตัวเองไม่มีปัญหา ทำอะไรได้สบาย ด้วยเหตุนี้จึงออกมานั่งรถโชว์ ก่อนกลับเข้าไปรับการรักษาตัวต่อเนื่อง และแพทย์แถลงว่าอาจให้ทรัมป์เช็กเอาต์ช่วงบ่ายวันจันทร์ตามเวลาสหรัฐฯ
ดูแล้วยาก เพราะต้องถูกกักบริเวณรวมกันอย่างน้อย 14 วัน และมีกำหนดต้องดีเบตรอบที่ 2 วันที่ 7 ตุลาคม กว่าจะพ้นระยะกักตัวก็หลังวันที่ 15 ไปแล้ว
การที่ทรัมป์ออกไปนั่งรถโชว์ชาวบ้านว่าตัวเองไม่มีอะไรป่วยนั้น คาดกับการคาดคะเนของแพทย์และคนอื่นๆ ที่ชมการแถลงข่าวพร้อมทีมแพทย์สหรัฐฯ ซึ่งขาดความโปร่งใส ความรับผิดชอบต่อชาวบ้าน และตัวเองก็เป็นพาหะนำโรคด้วย
ทรัมป์ถูกตรวจร่างกายหลังจากเข้าโรงพยาบาล ถูกยืนยันว่ามีปัญหาคอเลสเตอรอลสูง ความดันสูง น้ำหนักเกินเพราะโรคอ้วน ชอบกิน “อาหารขยะ” junk foods ต่างๆ ต้องเข้ารับการตรวจโรคอย่างละเอียด แม้จะต้องเปลือยกาย
ทรัมป์ได้รับยาหลายขนานเพื่อป้องกันและรักษา รวมทั้งถูกตรวจสอบปอดซึ่งผ่านการสแกนหาเชื้อวัณโรค ซึ่งเกิดขึ้นหลายพื้นที่เพราะมีความน่าสงสัยเรื่องปอด แพทย์ยอมรับว่า “ได้พบที่สิ่งคาดคิด” ซึ่งถูกตีความว่าเป็นอาการปอดบวม
แพทย์จึงต้องให้ยาเดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) ซึ่งเป็นยากลุ่มสเตียรอยด์ แก้เรื่องการติดเชื้อ ภูมิแพ้หลายอย่าง รวมทั้งการติดเชื้อในปอด ระบบหลอดลมหายใจด้วย นี่เป็นยาอันตราย ไม่จำเป็นแพทย์ไม่แนะนำให้ใช้เด็ดขาด
ต้องรอดูว่าทรัมป์จะมีอาการอย่างไร ถ้าสุขภาพดีจริง คงได้รับการปล่อยตัวจากการรักษาในโรงพยาบาลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะต้องมีเวลาเฝ้าระวัง
ถ้าอาการไม่ทรุด ทรัมป์มีโอกาสหาย อาจได้ร่วมการดีเบตรอบสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้งที่จะมีขึ้น 3 พฤศจิกายน ถ้าไม่เป็นอะไรมาก ทรัมป์คงคุยฟุ้งอีกนาน แต่ครั้งนี้คะแนนเลือกตั้งยังไม่สามารถระบุผู้ชนะ ส่วนใหญ่ก็ลงคะแนนไปแล้วด้วยซ้ำ
ทรัมป์ชนะหรือแพ้อาเซียนคงจะต้องรับสถานการณ์และผลกระทบด้วย