ผู้จัดการรายวัน360-“บิ๊กตู่” ควง “หมอหนู” จัดพิธีโอนเงินค่าค่าตอบแทน อสม. พร้อมหนุนเตรียมความพร้อม เฝ้าระวังโควิด-19 ระบาดระลอก 2 ยันสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง หลังเป็นด่านหน้าต่อสู้ ศบค.รายงานไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ หายเพิ่ม 2 ราย “หมอธีระ” จับตาเมียนมา ติดเชื้อพุ่ง 66% เป็นสัญญาณวิกฤต แนะไทยเตรียมรับมือระบาดซ้ำ ทั้งจากเคสหาต้นตอไม่ได้ การชุมนุม การลักลอบเข้าเมือง และกำลังเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว
วานนี้ (21ก.ย.) ที่ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานเปิดการจัดงานรณรงค์เตรียมความพร้อม อสม.เฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 2 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ โดยพล.อ.ประยุทธ์ ได้สวมเสื้อสีขาว โลโก้กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นเสื้อของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง พร้อมเดินทักทายกับตัวแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเปิดงานว่า รู้สึกสบายใจว่าอย่างน้อยก็มีคนของเรากลุ่มหนึ่งเป็นล้านคน ที่ร่วมกันทำประโยชน์ให้กับสังคมในเวลานี้ หากย้อนกลับไปช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาด สิ่งที่รัฐบาลเล็งในศักยภาพ คือ ด้านสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล และ อสม. ซึ่งหลายประเทศเขาไม่มี แต่ประเทศเรามี ถือเป็นความภาคภูมิใจของพวกเรา ที่ได้ทุกคนที่อาสาสมัครเข้ามาทำงานในเรื่องนี้ เป็นกลไกสำคัญที่รัฐบาลจะต้องดูแล และยังต้องทำต่อ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด เพราะเราทราบดีอยู่แล้วว่า ระยะที่ 1 เป็นอย่างไร และสามารถหยุดได้แค่ไหนอย่างไร เราจะประมาทไม่ได้ ว่าจะไม่มีการแพร่ระบาดในระลอกที่ 2 เราจะอยู่เฉยๆ และหยุดการทำงานไม่ได้
ทั้งนี้ เมื่อคืน 21 ก.ย.2563 ตอน 03.00 น. ได้มีการโอนเงินให้ อสม.แล้ว ขอให้ทุกคนกลับไปดูว่าได้รับเงินครบถ้วนหรือไม่ และขอให้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีการหมุนเวียนในระบบ เพราะด้านเศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และอย่าถือเงินนี้เป็นค่าจ้าง เรียกว่าเป็นเงินตอบแทนน้ำใจ เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่าย
“วันนี้มาพูดในฐานะเป็นนายกฯ และได้รับเกียรติจากกระทรวงสาธารณสุข ให้ใส่เสื้อตัวนี้ แต่จะเรียกผมว่าเป็นหมอตู่ คงไม่ได้ เพราะผมทำหลายอย่างเหลือเกิน หลายกระทรวงจะต้องขับเคลื่อน ผมถือว่าตนเองเป็นช่างแก้ไข ช่างปะผุ ช่างซ่อม ที่จะต้องเดินหน้าประเทศต่อไปในอนาคต เพราะเรามียุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญอันหนึ่งคือ การดูแลประชาชนให้มีความสุข มีอาชีพ แน่นอนจะใช้เวลาอันสั้นคงไม่ได้ แต่จะต้องทำทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจและฐานราก ทุกคนจะต้องเข้ามาอยู่ในห่วงโซ่เหล่านี้ เราต้องพัฒนาระบบต่างๆ ทั้งหมด”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
จากนั้น นายกฯ ได้ฝากประเทศไทย ฝากชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไว้ในมือของ อสม. ในการที่จะทำให้ประเทศไทยมีความสุข มีความรัก ความสามัคคีอย่างยั่งยืนตลอดไป
ต่อมา อสม.ทุกคนได้ลุกขึ้นปรบมือให้กำลังใจกับนายกฯ ในการบริหารประเทศ และแทนคำขอบคุณที่ได้เล็งเห็นการทำงานอย่างหนักของ อสม. ทั้งนี้ นายกฯ และผู้บริหารระดับสูง ยังร่วมกันทำพิธีเชิงสัญลักษณ์โอนเงินค่าตอบแทนเยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัยให้กับ อสม. เดือนละ 500 บาท เป็นเวลา 7 เดือน และก่อนกลับนายกฯ ยังได้เดินทักทายและเซลฟี่กับ อสม.ที่มาร่วมงานอย่างเป็นกันเอง
นายอนุทินกล่าว ตนไม่เห็นรอยยิ้มของนายกฯ และท่าทีผ่อนคลายของนายกฯ มานานแล้ว ถึงไม่ใช่บุคลากรสาธารณสุข แต่ท่านให้เกียรติและมีความรู้สึกว่าเราจะต้องเป็นพวกเดียวกัน เพื่อทำให้ประชาชนชาวไทยปลอดภัย ให้ประเทศไทยปลอดเชื้อ ปลอดโรค และท่านทราบดีว่าระบบสาธารณสุข บุคลากรการแพทย์ รวมถึง อสม. มีศักยภาพมากเพียงใด การที่เราได้มาพบกัน ถือเป็นการเติมกำลังใจให้กันทั้ง 2 ฝ่าย
วันเดียวกันนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้แจ้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ทั้งในประเทศและสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ โดยรักษาผู้ป่วยหายเพิ่ม 2 ราย มีผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 3,506 ราย รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 105 ราย และผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 59 ราย
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ความเร็วในการติดเชื้อ 1 ล้านคนใน 3 วัน ทำให้ยอดรวมติดเชื้อทั่วโลกกว่า 31 ล้านคน โดยโคลอมเบียแซงเปรูขึ้นมาเป็นที่ 5 ฝรั่งเศสแซงชิลี ขึ้นมาเป็นที่ 11 ในขณะที่เมียนมาเพิ่มขึ้นถึง 671 คน ตายเพิ่มอีก 11 คน ส่อสัญญาณหยุดไม่อยู่ มียอดรวมแซงฮ่องกงไปแล้ว หากดูจำนวนติดเชื้อต่อวันจะพบว่าเพิ่มขึ้นถึง 66% ถือเป็นสัญญาณวิกฤติ
ทั้งนี้ ไทยควรเตรียมแผนในการรับมือระบาดซ้ำ เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ามีโอกาสเกิดขึ้นในไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็นหลายเคสที่มีประวัติบ่งถึงการติดเชื้อภายในประเทศ โดยยังควานหาต้นตอไม่ได้ รวมถึงการชุมนุมเรือนหมื่นที่เพิ่งเกิดขึ้น และยังมีการลักลอบเข้าเมืองจากประเทศเพื่อนบ้าน และการทยอยเข้ามาของกลุ่มต่างๆ จากต่างประเทศ ยังไม่นับการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาตั้งแต่ต.ค.ที่จะถึงนี้ โดยเห็นว่ารัฐบาลควรจะชะลอนโยบายนี้ออกไปก่อน แล้วหันมายืนบนขาตัวเอง ลดการพึ่งพา เพื่อป้องกันการระบาด
วานนี้ (21ก.ย.) ที่ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานเปิดการจัดงานรณรงค์เตรียมความพร้อม อสม.เฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 2 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ โดยพล.อ.ประยุทธ์ ได้สวมเสื้อสีขาว โลโก้กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นเสื้อของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง พร้อมเดินทักทายกับตัวแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเปิดงานว่า รู้สึกสบายใจว่าอย่างน้อยก็มีคนของเรากลุ่มหนึ่งเป็นล้านคน ที่ร่วมกันทำประโยชน์ให้กับสังคมในเวลานี้ หากย้อนกลับไปช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาด สิ่งที่รัฐบาลเล็งในศักยภาพ คือ ด้านสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล และ อสม. ซึ่งหลายประเทศเขาไม่มี แต่ประเทศเรามี ถือเป็นความภาคภูมิใจของพวกเรา ที่ได้ทุกคนที่อาสาสมัครเข้ามาทำงานในเรื่องนี้ เป็นกลไกสำคัญที่รัฐบาลจะต้องดูแล และยังต้องทำต่อ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด เพราะเราทราบดีอยู่แล้วว่า ระยะที่ 1 เป็นอย่างไร และสามารถหยุดได้แค่ไหนอย่างไร เราจะประมาทไม่ได้ ว่าจะไม่มีการแพร่ระบาดในระลอกที่ 2 เราจะอยู่เฉยๆ และหยุดการทำงานไม่ได้
ทั้งนี้ เมื่อคืน 21 ก.ย.2563 ตอน 03.00 น. ได้มีการโอนเงินให้ อสม.แล้ว ขอให้ทุกคนกลับไปดูว่าได้รับเงินครบถ้วนหรือไม่ และขอให้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีการหมุนเวียนในระบบ เพราะด้านเศรษฐกิจก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และอย่าถือเงินนี้เป็นค่าจ้าง เรียกว่าเป็นเงินตอบแทนน้ำใจ เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่าย
“วันนี้มาพูดในฐานะเป็นนายกฯ และได้รับเกียรติจากกระทรวงสาธารณสุข ให้ใส่เสื้อตัวนี้ แต่จะเรียกผมว่าเป็นหมอตู่ คงไม่ได้ เพราะผมทำหลายอย่างเหลือเกิน หลายกระทรวงจะต้องขับเคลื่อน ผมถือว่าตนเองเป็นช่างแก้ไข ช่างปะผุ ช่างซ่อม ที่จะต้องเดินหน้าประเทศต่อไปในอนาคต เพราะเรามียุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญอันหนึ่งคือ การดูแลประชาชนให้มีความสุข มีอาชีพ แน่นอนจะใช้เวลาอันสั้นคงไม่ได้ แต่จะต้องทำทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจและฐานราก ทุกคนจะต้องเข้ามาอยู่ในห่วงโซ่เหล่านี้ เราต้องพัฒนาระบบต่างๆ ทั้งหมด”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
จากนั้น นายกฯ ได้ฝากประเทศไทย ฝากชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไว้ในมือของ อสม. ในการที่จะทำให้ประเทศไทยมีความสุข มีความรัก ความสามัคคีอย่างยั่งยืนตลอดไป
ต่อมา อสม.ทุกคนได้ลุกขึ้นปรบมือให้กำลังใจกับนายกฯ ในการบริหารประเทศ และแทนคำขอบคุณที่ได้เล็งเห็นการทำงานอย่างหนักของ อสม. ทั้งนี้ นายกฯ และผู้บริหารระดับสูง ยังร่วมกันทำพิธีเชิงสัญลักษณ์โอนเงินค่าตอบแทนเยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัยให้กับ อสม. เดือนละ 500 บาท เป็นเวลา 7 เดือน และก่อนกลับนายกฯ ยังได้เดินทักทายและเซลฟี่กับ อสม.ที่มาร่วมงานอย่างเป็นกันเอง
นายอนุทินกล่าว ตนไม่เห็นรอยยิ้มของนายกฯ และท่าทีผ่อนคลายของนายกฯ มานานแล้ว ถึงไม่ใช่บุคลากรสาธารณสุข แต่ท่านให้เกียรติและมีความรู้สึกว่าเราจะต้องเป็นพวกเดียวกัน เพื่อทำให้ประชาชนชาวไทยปลอดภัย ให้ประเทศไทยปลอดเชื้อ ปลอดโรค และท่านทราบดีว่าระบบสาธารณสุข บุคลากรการแพทย์ รวมถึง อสม. มีศักยภาพมากเพียงใด การที่เราได้มาพบกัน ถือเป็นการเติมกำลังใจให้กันทั้ง 2 ฝ่าย
วันเดียวกันนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้แจ้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ทั้งในประเทศและสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ โดยรักษาผู้ป่วยหายเพิ่ม 2 ราย มีผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 3,506 ราย รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 105 ราย และผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 59 ราย
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ความเร็วในการติดเชื้อ 1 ล้านคนใน 3 วัน ทำให้ยอดรวมติดเชื้อทั่วโลกกว่า 31 ล้านคน โดยโคลอมเบียแซงเปรูขึ้นมาเป็นที่ 5 ฝรั่งเศสแซงชิลี ขึ้นมาเป็นที่ 11 ในขณะที่เมียนมาเพิ่มขึ้นถึง 671 คน ตายเพิ่มอีก 11 คน ส่อสัญญาณหยุดไม่อยู่ มียอดรวมแซงฮ่องกงไปแล้ว หากดูจำนวนติดเชื้อต่อวันจะพบว่าเพิ่มขึ้นถึง 66% ถือเป็นสัญญาณวิกฤติ
ทั้งนี้ ไทยควรเตรียมแผนในการรับมือระบาดซ้ำ เนื่องจากมีเหตุการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่ามีโอกาสเกิดขึ้นในไม่ช้า ไม่ว่าจะเป็นหลายเคสที่มีประวัติบ่งถึงการติดเชื้อภายในประเทศ โดยยังควานหาต้นตอไม่ได้ รวมถึงการชุมนุมเรือนหมื่นที่เพิ่งเกิดขึ้น และยังมีการลักลอบเข้าเมืองจากประเทศเพื่อนบ้าน และการทยอยเข้ามาของกลุ่มต่างๆ จากต่างประเทศ ยังไม่นับการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาตั้งแต่ต.ค.ที่จะถึงนี้ โดยเห็นว่ารัฐบาลควรจะชะลอนโยบายนี้ออกไปก่อน แล้วหันมายืนบนขาตัวเอง ลดการพึ่งพา เพื่อป้องกันการระบาด