หากจะบอกว่า เคล็ดลับในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ของประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่ช่วงแรกที่ไวรัสมรณะชนิดนี้ระบาด เราถูกมองว่า จะเป็น “ศูนย์กลาง” ของการแพร่ระบาด คืออะไร คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คือ การมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.)
หลายประเทศชื่นชมและยกย่องการบริหารจัดการ ตลอดจนการป้องกันโควิด-19 ของไทย ที่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาด จนประชาชนกลับมาใช้ชีวิตจนเกือบจะปกติได้เป็นประเทศแรกๆ
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ถึงขั้นเชิดชูว่า อสม.คือ “ฮีโร่พลังเงียบ” ที่เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยปราบโควิด-19 ได้อยู่หมัด
ขณะที่รัฐบาลเองก็ยอมรับว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยชนะโควิด-19 ได้คือ การมี “ด่านหน้า” ที่ดีอย่าง “อสม.” ที่อยู่ใกล้ชิดกับชุมชน เพราะลำพังศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.อาจจะบริหารจัดการได้ดี แต่เป็นเพียงระดับนโยบาย แต่หากขาดซึ่งฝ่ายปฏิบัติที่บู๊อยู่หน้างานอย่าง “อสม.” ความสำเร็จนี้ก็อยากที่จะเกิดขึ้นได้
“เราได้ถูกยกระดับเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุข ดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ซึ่งเขามองว่าประเทศไทยทำได้อย่างไร ผมก็บอกว่าเพราะเรามี อสม. ถ้าไม่มี อสม.คงไม่สามารถทำได้ เพราะเรามีคน 70 กว่าล้านคน” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ระบุเอาไว้ระหว่างการเปิดงานการจัดงานรณรงค์เตรียมความพร้อม อสม.เฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกที่ 2 เมื่อวันที่ 21 ก.ย.
ดังนั้น อสม.เหล่านี้ ควรได้รับดูแลอย่างดี เพราะต้องไม่ลืมว่า การอยู่หน้างานนั้น นอกจากเหน็ดเหนื่อยแล้ว ยังเสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด-19 มากกว่าคนอื่นๆ ถือเป็นผู้ที่เสียสละอย่างแท้จริง
จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา “หมอหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ถึงพยายามจะผลักดันเพื่อจะตอบแทนคนเหล่านี้
จะเห็นว่า ที่ผ่านมา “หมอหนู” เป็นตัวตั้งตัวตี เพื่อที่จะมอบน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้กับ “ฮีโร่พลังเงียบ” มาตลอด โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัยของ อสม.
โดย “หมอหนู” พยายามจะผลักดันให้ อสม.ได้รับค่าตอบแทนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะเมื่อเทียบกับสิ่งที่คนเหล่านี้ทำในช่วงที่ผ่านมาถือว่า เล็กน้อยมาก
ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นายอนุทินได้นำเรื่องนี้เข้า ครม. จนกระทั่งที่ประชุม ครม.อนุมัติงบกลางจำนวน 3,622 ล้านบาท เพื่อจ่ายให้กับ อสม. เป็นระยะเวลา 7 เดือน (มีนาคม - กันยายน) โดยจะได้รับเดือนละ 500 บาท
อย่างไรก็ดี หลังผลักดันให้ อสม.ได้ไปแล้ว 7 เดือน นายอนุทินยังคงพยายามหาช่องทางที่จะดูแลคนเหล่านี้ต่อ เพราะถือเป็นกำลังหลัก
พยายามจะทำทุกทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทราบว่า ควรต้องดูแลนักรบเหล่านี้ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะการที่ “อนุทิน” พยายามสร้างอารมณ์ร่วมให้ “บิ๊กตู่” ยอมใส่เสื้อกราวน์สีขาว ติดโลโก้กระทรวงสาธารณสุข มาพบปะ อสม. แสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับกระทรวงสาธารณาสุข และเป็นแม่ทัพสู้กับโควิด19
ซึ่งกำลังใจจาก อสม. 3,000 คนที่มาพบกันเมื่อวันที่ 21 กันยายน ได้สร้างความประทับใจให้ กับ พล.อ.ประยุทธ์เป็นอย่างมาก และนำมาซึ่งมติที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 22 ก.ย. มีมติอนุมัติงบประมาณ จำนวน 1,575.4590 ล้านบาท เพิ่มค่าตอบแทนฮีโร่พลังเงียบอีกครั้ง เรียกว่า ให้หลังเพียงวันเดียว
โดยจะจ่ายให้ อสม. และ อสส. รวมจำนวนไม่เกิน 1,050,306 คนต่อเดือน ระยะเวลา 3 เดือน (ตุลาคม – ธันวาคม) หรือสรุปง่ายๆ คือ ตอนนี้ อสม.จะได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 500 บาท รวมเป็น 10 เดือนแล้ว
“รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความเสียสละ ความทุ่มเท ความขยันขันแข็งของ อสม. ทั่วประเทศ ถือว่านายกฯ รักษาสัญญากับ อสม.อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม หลังได้ค่าตอบแทนแล้ว ขอให้ อสม.ขยันมากขึ้น เนื่องจากเป็นงบประมาณของประเทศ แต่ถือเป็นสิ่งตอบแทนค่าป่วยการที่ อสม. ได้เสียสละความสุขส่วนตัว ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ไปดูแลประชาชน และมีผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่รับมือโรคโควิด 19 เป็นอันดับ 1 ของโลกด้วยพลังของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ อสม.ทุกคน เนื่องจากเราทำงานกันเป็นทีม และไม่ใช่รับมือกับโรคโควิด 19 เท่านั้น ยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ทุกเรื่อง"นายอนุทิน เปิดใจหลังสามารถผลักดันค่าตอบแทน อสม.เป็น 10 เดือนได้สำเร็จ และถือเป็นการดำเนินการที่ถูกที่ ถูกเวลา เพราะ อสม.จะต้องเป็นด่านหน้าสำคัญอีกครั้ง หากมีการระบาดของโควิด-19 ในระลอกที่ 2
ขวัญกำลังใจคนทำงาน ถือเป็นอีกหนึ่งความเชื่อมั่นที่ทำให้หลายคนไม่วิตกกังวลหากโควิด-19 จะกลับมาระบาดอีกครั้ง
เพราะวันนี้เรามีผู้ที่พร้อมจะต่อสู้และเคียง “อสม.” อย่างนายอนุทิน และมี “นักรบด่านหน้า” อย่าง อสม.