ม็อบประกาศยุติชุมนุม หลังปักหมุดคณะราษฎร หมุดที่ 2 ที่สนามหลวง พร้อมยื่นหนังสือยุทธศาสตร์ 3 ข้อ และข้อเรียกร้อง 10 ข้อในการปฏิรูปสถาบันฯ แก่ประธานองคมนตรี นัดอีกครั้ง 24 ก.ย. หน้าสภา กดดันแก้ไขรธน. ชูแนวทาง 8 ข้อ ต่อสู้เผด็จการ
เมื่อเวลา 06.30 น.วานนี้ (20ก.ย.) การชุมนุมของกลุ่ม"ธรรมศาสตร์และการชุมนุม" ที่ได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อการชุมนุมว่า "19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร" ได้เตรียมพื้นที่ บริเวณท้องสนามหลวง เพื่อปักหมุดคณะราษฎร หมุดที่ 2 โดยนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำกลุ่ม ได้ขึ้นประกาศบนเวทีเชิญดวงวิญญาณวีรชนประชาธิปไตยทุกท่าน ร่วมต่อสู้กับเรา จากนั้นมีตัวแทนเป็นเด็กนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษา ได้เชิญหมุดคณะราษฎร ลงจากเวที และร่วมกับแกนนำ เริ่มพิธีปักหมุดลงพื้นปูน โดยมีผู้แต่งชุดขาว คล้ายพราหมณ์ร่วมทำพิธีกรรม พร้อมให้กล่าวคำสาปแช่งพร้อมกันว่า หากใครถอนหมุดนี้ขอให้พบแต่ความวิบัติฉิบหาย เสื่อมลาภ เสื่อมยศ
ต่อมาเวลา 08.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้ร่วมกันร้องเพลงชาติ พร้อมชู 3 นิ้ว
จากนั้น นายพริษฐ์ ได้ขึ้นประกาศบนเวทีว่า จะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์ใหญ่ที่สุด โดยเรามียุทธศาสตร์ ข้อที่ 1 ขับไล่รัฐบาล ไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวกพ้อง ซึ่งที่ผ่านมาได้ประกาศไปแล้วว่า จะไปไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล แต่เมื่อคืนตนนอนคิด และเปลี่ยนใจแล้วว่า บิ๊กเซอร์ไพรส์ คือไม่ไปทำเนียบฯ แต่เราจะส่งตัวแทน ไปยื่นหนังสือยุทธศาสตร์ 3 ข้อ และ10 ข้อเรียกร้อง ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
ต่อมา ม็อบได้เคลื่อนขบวนไปหน้าพระบรมมหาราชวัง และเรียกร้องให้องคมนตรีออกมารับหนังสือ โดยมี น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เป็นตัวแทนยื่นหนังสือข้อเรียกร้อง 3 ข้อ และ 10 ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้แก่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยมี พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. เป็นผู้มารับหนังสือ
น.ส.ปนัสยา กล่าวหลังการยื่นข้อเรียกร้องว่า เข้าใจว่าเป็นข้อจำกัดจริงๆ เพราะไม่อยากให้เกิดการปะทะ ไม่อยากให้ใครเจ็บ โดยต้องดูว่า ผบช.น. จะดำเนินการให้หรือไม่ หากไม่ดำเนินการ คราวหน้าก็เจอกัน พร้อมประกาศยุติการชุมนุม และขอบคุณผู้มาร่วมชุมนุม
ขณะที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ประกาศชัยชนะในการชุมนุม คือสามารถนำผู้ชุมนุมเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และยึดสนามหลวงได้ และการชุมนุมครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ หลังการยื่นข้อเรียกร้อง 10 ข้อเสร็จสิ้น และนัดอีกครั้งในวันที่ 24 ก.ย.นี้ หน้ารัฐสภา เพื่อกดดันเรียกร้องให้ ส.ส.แก้ไขรัฐธรรมนญ จากนั้นประกาศยุติการชุมนุม เมื่อเวลาประมาณ 09.45น. และกลุ่มผู้ชุมนุมได้ทยอยเดินทางกลับ
ต่อมา นายพริษฐ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ประกาศแนวทางการต่อสู้กับเผด็จการ 8 ข้อ ที่ทุกคนทำได้จากที่บ้านได้แก่ 1. ยืนตรงชูสามนิ้วเคารพธงชาติ ไม่ว่าจะที่บ้าน โรงเรียน หรือที่ใดๆ 2. ได้ยินเพลงสรรเสริญในโรงหนัง ไม่ต้องยืนขึ้น แต่ให้ชูสามนิ้วแทน 3. ผูกโบขาวไว้ที่รั้วบ้าน กระเป๋า และที่ขากระจกรถ 4. เห็นขบวนคนใหญ่คนโต ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอให้บีบแตร 5. ติดป้ายผ้าต่อต้านเผด็จการไว้ตามสะพานลอย หรือที่ชุมชนต่างๆ 6. ประยุทธ์ไปจังหวัดไหน ขอให้ขึ้นป้ายคนจังหวัดนั้น ไม่ต้อนรับเผด็จการ 7. นัดหยุดงานประท้วงรัฐบาล เริ่มต้นจากลาพักร้อน วันที่ 14 ตุลา พร้อมกันทั่วประเทศ 8. ทุบหม้อข้าวเผด็จการ แบนธนาคาร SCB
นายกฯของคุณจนท.ดูแลม็อบเรียบร้อย
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และรมว.กห.ได้กล่าวชื่นชมและแสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ร่วมดูแลการชุมนุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและปลอดภัยร่วมกันในภาพรวม พร้อมทั้งขอบคุณกลุ่มผู้ชุมนุมและประชาชน ที่ต่างเรียนรู้บทเรียนและประสบการณ์การชุมนุมในอดีตที่ผ่านมาร่วมกัน ด้วยความเข้าใจ โดยไม่มีปัญหาการกระทบกระทั่งและใช้ความรุนแรงต่อกัน พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลรับทราบ และพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกพื้นที่การแสดงออกของทุกฝ่าย และมีความจริงใจที่จะร่วมผลักดันการแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ผ่านกลไกตามวิถีประชาธิปไตยที่เราต่างยึดมั่น
เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้กล่าวแสดงความขอบคุณ การทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทุกหน่วยงาน ที่ได้เตรียมการ อำนวยการ และปฏิบัติงานในการติดตาม อำนวยความสะดวก และดูแลความปลอดภัยการชุมนุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมทั้งขอขอบคุณผู้เข้าร่วมชุมนุม ที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ และร่วมกันชุมนุมอย่างสันติ
ชี้ผิดชัดเจน 3 ส่วนรวมปักหมุด
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. และพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตร. แถลงความคืบหน้าหลังยุติการชุมนุมว่า พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. เป็นผู้รับหนังสือจากกลุ่มผู้ชุมนุม ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ ไม่ได้เป็นตัวแทนของสำนักงานองคมนตรี จากนั้น ดำเนินการตามขั้นตอนที่ผู้ยื่นมีความประสงค์
ส่วนที่จะนัดชุมนุมกันอีกครั้งในวันที่ 24 ก.ย. ที่รัฐสภานั้น ตำรวจก็ติดตามประเมินสถานการณ์ เพื่อวางกำลังให้เกิดความเหมาะสม แม้เจ้าหน้าที่จะใช้แผน “การชุมนุม 63”แต่ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เป็นความสำเร็จในเรื่องการเจรจา และเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายอยากให้เกิดขึ้น สำหรับแกนนำที่เข้าร่วมในการชุมนุมครั้งนี้ถูกออกหมายจับมาแล้วหลายคดี ถ้าพบมีการกระทำความผิดซ้ำ หรือผิดเงื่อนไขการประกันตัว จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ขณะที่ความผิดที่เกิดขึ้นใหม่หลังจากการชุมนุมในครั้งนี้ ก็ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวถึงกรณีกลุ่มผู้ชุมนุม ทำการปักหมุดจะเข้าข่ายความผิดใดบ้าง ว่า ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสนามหลวง ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ภายใต้การดูแลของ 2 หน่วยงาน คือ กทม. และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยกทม.เป็นหน่วยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่สนามหลวงทั้งหมด ส่วนศธ.ดูแลตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ชุมนุมออกจาก ม.ธรรมศาสตร์ เข้ามายังสนามหลวง ที่กทม.เปิดให้ประชาชนใช้ทำกิจกรรมตามที่กำหนด พบว่ากลุ่มผู้ชุมนุม มีการฝ่าฝืนกฎหมาย การดำเนินการพักแรมค้างคืน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ กทม.ในฐานะดูแลจะต้องพิจารณาว่าการค้างคืนดังกล่าว เป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ อย่างไร
และการที่กลุ่มผู้ชุมนุมปักหมุดบนพื้นซีเมนต์ของท้องสนามหลวง กทม. ต้องประสานกับ ศธ.ว่าการกระทำดังกล่าว เข้าองค์ประกอบความผิดไหน อย่างไร จากการตรวจสอบตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ คาดว่าจะมีความผิดตามกฎหมาย ส่วนการจะดำเนินการนำหมุดออก หรือไม่ ถ้าดูแล้วไม่มีความจำเป็นกับสนามหลวง กทม. ก็ต้องมีการพิจารณาเพื่อนำออกไป การกระทำดังกล่าว มีความผิดต่างกรรม ต่างวาระ แม้ว่าเหตุการณ์จะต่อเนื่องกันก็ตาม เบื้องต้นพบความผิด 3 ส่วน ประกอบด้วย ดังนี้
1. ตั้งแต่ออกจาก ม.ธรรมศาสตร์ เข้าสู่สนามหลวง ถ้ากรณีสนามหลวงเปิดให้ประชาชนเข้าไปใช้บริการ ถือว่าเป็นพื้นที่สาธารณะ แต่การชุมนุมโดยไม่แจ้งให้จนท. ทราบก่อน ถือว่าเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเข้าสนามหลวงแล้วอยู่เกินเวลาที่กำหนด ถือว่าเป็นการกระทำผิด 2. เมื่อเข้าไปในสนามหลวงแล้ว อยู่ล่วงเลยเวลาที่กำหนด และ 3. การปักหมุดถือว่าเป็นส่วนเกิน ไม่ใช่สิ่งที่พึงมีในท้องสนามหลวง กทม. ต้องพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ตำรวจได้บันทึกภาพและเสียงผู้ที่กระทำความผิดไว้หมดแล้ว
ส่วนกรณีแกนนำปราศัยในเนื้อหาไม่เหมาะสมนั้น ก็ได้มีตำรวจ และพนักงานสอบสวนกว่า 40 นาย เฝ้าสังเกตการณ์ รวมทั้งบันทึกภาพและเสียง เพื่อพิจารณาว่า การปราศรัย หรือการให้สัมภาษณ์ เข้าข่ายความผิดอย่างไร ถ้าเข้าข่ายความผิด ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ส.ว.สมชายจี้ฟันแกนนำม็อบผิดม.112
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการชุมนุมครั้งนี้ว่า #อนาคตใหม่ของแกนนำ มีแค่โรงพัก ศาล และเรือนจำ ... ประกาศชัยชนะแบบกระทันหัน ท่ามกลางความพ่ายแพ้ยับเยิน เพราะบุกลานพระรูปไม่ได้…ด้วยโดนบล็อกเส้นทางทั้งหมด พรรคการเมืองและมวลชน ไม่เล่นด้วย แกนนำจึงต้องนำคำประกาศโจมตีสถาบันฯ ที่คุยว่าเซอร์ไพรส์ บิ๊กเบิ้ม มาอ่านแถลงการณ์ และหาทางลงด้วยการยื่นเอกสาร ต่อสำนักองคมนตรี แต่ไม่มีใครรับ ... ให้ ผบช.น.รับไปเป็นหลักฐาน ในคดี หมิ่น112 , 116 แทน และม็อบอาจยุติลงโดยเร็ว #ชีวิตของพวกเขาจากนี้ต้องจบที่เรือนจำ
คลิปคำปราศรัยดังกล่าว เป็นการกระทำที่หมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ชัดเจน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112ผู้เขียนบทให้อ่านที่อยู่เบื้องหลังผู้ปราศรัย สถานีโทรทัศน์...และเจ้าของ ลูกชายนายใหญ่ ที่ร่วมมือกันกระทำการในสิ่งที่มิบังควร กระทบกระเทือนจิตใจคนไทยทั้งประเทศ
สมควรได้รับการพิจารณาดำเนินคดีตาม มาตรา112 อย่างเด็ดขาดต่อไปในเร็วๆนี้
"พี่ศรี"จ่อเอาผิดแกนนำม็อบ
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยการบุกรุกเข้าใช้สนามหลวง โดยไม่ได้ขออนุญาตจาก กทม. และมีการตัดทำลายรั้วซึ่งเป็นทรัพย์สินของทางราชการ และยังได้ทำการเจาะพื้นสนามหลวงให้เสียหาย และ ได้ทำพิธีฝังหมุดคณะราษฎร หมุดที่ 2 ลงในพื้นที่สนามหลวง ตามที่ได้มีการเตรียมการไว้แล้วนั้น
ทั้งนี้ สนามหลวงได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ มาตั้งแต่ปี 2520 มีชื่อว่า "โบราณสถานทุ่งพระเมรุ (สนามหลวง)" โดยที่ ม.32 ของ พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 ระบุว่า ผู้ใดบุกรุกโบราณสถาน หรือทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้เสื่อมค่าหรือ ทําให้ไร้ประโยชน์ซึ่งโบราณสถาน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 7 แสนบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ และโทษของการบุกรุกและทำลายโบราณสถานจะหนักขึ้นเป็น จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าโบราณสถานแห่งนั้นเป็นโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว
พฤติกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมและแกนนำ จึงถือเป็นกรรมหนัก ที่จะปล่อยให้ลอยนวลต่อไปมิได้ สมาคมฯ จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อ อธิบดีกรมศิลปากร และ ผอ.เขตพระนคร ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ในการสั่งการให้ทุบรื้อทิ้งเสีย ซึ่งหมุดคณะราษฎร หมุดที่ 2 พร้อมแจ้งความดำเนินคดี เพื่อเอาผิดผู้ที่บังอาจกระทำการฝ่าฝืนดังกล่าวข้างต้นโดยเร็ว โดยสมาคมฯ จะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 21 ก.ย.63 เวลา 10.00 น.
'พุทธะอิสระ'ลั่นถึงต้องปกป้องสถาบันฯ
อดีตพระพุทธะอิสระ ผู้ก่อตั้งวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หลวงปู่พุทธะอิสระ ถึงข้อเรียกร้องและการชุมนุมของม็อบปลดแอกว่า สงสัยว่า การชุมนุมครั้งนี้ ประเทศชาติจะได้อะไร ประชาชน จะได้อะไร เศรษฐกิจเมืองไทย มันจะดีขึ้นได้อย่างไร คนตกงาน มันจะน้อยลงไหม โรคโควิด มันจะหยุดระบาดด้วยหรือไม่ คุณภาพชีวิตคนไทย มันจะดีขึ้นอย่างไร
ที่สงสัยก็เพราะ ในฐานะที่เคยเป็นแกนนำการชุมนุมมาก่อน เวลาพวกเราชุมนุม ได้ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่า เราจักสู้ เพื่อประโยชน์ของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เรามีอุดมการณ์ชัดเจนว่า หลังจากที่เราสู้แล้ว ผู้ที่ได้ประโยชน์คือ ชาติ ประชาชน และสถาบันหลักของชาติต้องมั่นคง แต่พอพวกเราเห็นการชุมนุมของพวกที่เรียกตนเองว่า คณะปลดแอก ออกมาชุมนุมแล้วพุ่งเป้าโจมตีสถาบันฯ เป็นหลัก มันเท่ากับทำลายสิ่งที่พวกเราห่วงใย เช่นนี้ พวกเราคงยอมไม่ได้ ยิ่งแกนนำฯ มากล่าวอ้างว่า การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นฉันทามติของคนทั้งประเทศ พวกเรายิ่งยอมรับไม่ได้
จึงสงสัยว่า คนที่มาชุมนุมแค่ 3-4 หมื่นคน นี่หรือคนทั้งประเทศ เราจึงอยากจะส่งสัญญาณมายังผู้ที่รักสถาบันฯ ว่า คงจะถึงเวลาแล้วแหละ ที่คนกตัญญูต่อแผ่นดิน จะออกรวมตัวกันแสดงพลัง ปกป้องสถาบันฯ และส่งสัญญาณบอกให้คณะปลดแอกได้รับรู้ว่า คนในประเทศนี้ เขารักสถาบันฯ กันมากขนาดไหน
"โจชัว หว่อง" ทวีตหนุนม็อบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมครั้งนี้ "โจชัว หว่อง" แกนนำกลุ่มชุมนุมประท้วงที่ฮ่องกง ได้ทวีต ให้กำลังใจ ความว่า ถึงแม้ฝนจะตกหนัก คนจำนวนหลายหมื่นของไทย ได้จัดการประท้วงที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ปี 2014 ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และอนาคตของพวกเขาในวันนี้ เป็นที่ชัดเจนว่า ความอุตสาหะอย่างไม่ย่อท้อในความรักที่มีต่อที่พวกเขาอยู่ ผู้คนในประเทศไทยกำลังสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง
ในทวีตที่ 2 หว่องกล่าวว่า "ผมรู้สึกหวั่นไหวไปกับในสิ่งที่หญิงชราวัย 68 ปีกล่าวว่า " ดิฉันมาที่นี่เพื่อสู้ให้กับอนาคตของลูกๆ และหลานๆ ของตัวเอง ดิฉันหวังว่าในเวลาที่ดิฉันเสียชีวิต พวกเขาจะเป็นอิสระ ในต้นทุนของพวกเราเพื่อประชาธิปไตย หัวใจของชาวฮ่องกงจะอยู่เคียงข้างพวกคุณ"
ขณะที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกแถลงการณ์ รำลึกครบรอบ 14 ปีที่ถูกทำรัฐประหาร โดยกล่าวยืนยันว่า ถึงเวลาที่ประเทศต้องเปลี่ยนความคิดและวิธีการปกครองประเทศ โดย "ทักษิณ" โพสต์บนเฟซบุ๊ก มีใจความว่า "มันถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนวิธีในการคิด และการปกครองประเทศของเรา เพราะตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้ล้าหลังจากชาติอื่นๆ"
เมื่อเวลา 06.30 น.วานนี้ (20ก.ย.) การชุมนุมของกลุ่ม"ธรรมศาสตร์และการชุมนุม" ที่ได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อการชุมนุมว่า "19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร" ได้เตรียมพื้นที่ บริเวณท้องสนามหลวง เพื่อปักหมุดคณะราษฎร หมุดที่ 2 โดยนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำกลุ่ม ได้ขึ้นประกาศบนเวทีเชิญดวงวิญญาณวีรชนประชาธิปไตยทุกท่าน ร่วมต่อสู้กับเรา จากนั้นมีตัวแทนเป็นเด็กนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษา ได้เชิญหมุดคณะราษฎร ลงจากเวที และร่วมกับแกนนำ เริ่มพิธีปักหมุดลงพื้นปูน โดยมีผู้แต่งชุดขาว คล้ายพราหมณ์ร่วมทำพิธีกรรม พร้อมให้กล่าวคำสาปแช่งพร้อมกันว่า หากใครถอนหมุดนี้ขอให้พบแต่ความวิบัติฉิบหาย เสื่อมลาภ เสื่อมยศ
ต่อมาเวลา 08.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้ร่วมกันร้องเพลงชาติ พร้อมชู 3 นิ้ว
จากนั้น นายพริษฐ์ ได้ขึ้นประกาศบนเวทีว่า จะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์ใหญ่ที่สุด โดยเรามียุทธศาสตร์ ข้อที่ 1 ขับไล่รัฐบาล ไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวกพ้อง ซึ่งที่ผ่านมาได้ประกาศไปแล้วว่า จะไปไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล แต่เมื่อคืนตนนอนคิด และเปลี่ยนใจแล้วว่า บิ๊กเซอร์ไพรส์ คือไม่ไปทำเนียบฯ แต่เราจะส่งตัวแทน ไปยื่นหนังสือยุทธศาสตร์ 3 ข้อ และ10 ข้อเรียกร้อง ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
ต่อมา ม็อบได้เคลื่อนขบวนไปหน้าพระบรมมหาราชวัง และเรียกร้องให้องคมนตรีออกมารับหนังสือ โดยมี น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เป็นตัวแทนยื่นหนังสือข้อเรียกร้อง 3 ข้อ และ 10 ข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้แก่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยมี พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. เป็นผู้มารับหนังสือ
น.ส.ปนัสยา กล่าวหลังการยื่นข้อเรียกร้องว่า เข้าใจว่าเป็นข้อจำกัดจริงๆ เพราะไม่อยากให้เกิดการปะทะ ไม่อยากให้ใครเจ็บ โดยต้องดูว่า ผบช.น. จะดำเนินการให้หรือไม่ หากไม่ดำเนินการ คราวหน้าก็เจอกัน พร้อมประกาศยุติการชุมนุม และขอบคุณผู้มาร่วมชุมนุม
ขณะที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ประกาศชัยชนะในการชุมนุม คือสามารถนำผู้ชุมนุมเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และยึดสนามหลวงได้ และการชุมนุมครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ หลังการยื่นข้อเรียกร้อง 10 ข้อเสร็จสิ้น และนัดอีกครั้งในวันที่ 24 ก.ย.นี้ หน้ารัฐสภา เพื่อกดดันเรียกร้องให้ ส.ส.แก้ไขรัฐธรรมนญ จากนั้นประกาศยุติการชุมนุม เมื่อเวลาประมาณ 09.45น. และกลุ่มผู้ชุมนุมได้ทยอยเดินทางกลับ
ต่อมา นายพริษฐ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ประกาศแนวทางการต่อสู้กับเผด็จการ 8 ข้อ ที่ทุกคนทำได้จากที่บ้านได้แก่ 1. ยืนตรงชูสามนิ้วเคารพธงชาติ ไม่ว่าจะที่บ้าน โรงเรียน หรือที่ใดๆ 2. ได้ยินเพลงสรรเสริญในโรงหนัง ไม่ต้องยืนขึ้น แต่ให้ชูสามนิ้วแทน 3. ผูกโบขาวไว้ที่รั้วบ้าน กระเป๋า และที่ขากระจกรถ 4. เห็นขบวนคนใหญ่คนโต ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอให้บีบแตร 5. ติดป้ายผ้าต่อต้านเผด็จการไว้ตามสะพานลอย หรือที่ชุมชนต่างๆ 6. ประยุทธ์ไปจังหวัดไหน ขอให้ขึ้นป้ายคนจังหวัดนั้น ไม่ต้อนรับเผด็จการ 7. นัดหยุดงานประท้วงรัฐบาล เริ่มต้นจากลาพักร้อน วันที่ 14 ตุลา พร้อมกันทั่วประเทศ 8. ทุบหม้อข้าวเผด็จการ แบนธนาคาร SCB
นายกฯของคุณจนท.ดูแลม็อบเรียบร้อย
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และรมว.กห.ได้กล่าวชื่นชมและแสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ร่วมดูแลการชุมนุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและปลอดภัยร่วมกันในภาพรวม พร้อมทั้งขอบคุณกลุ่มผู้ชุมนุมและประชาชน ที่ต่างเรียนรู้บทเรียนและประสบการณ์การชุมนุมในอดีตที่ผ่านมาร่วมกัน ด้วยความเข้าใจ โดยไม่มีปัญหาการกระทบกระทั่งและใช้ความรุนแรงต่อกัน พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลรับทราบ และพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกพื้นที่การแสดงออกของทุกฝ่าย และมีความจริงใจที่จะร่วมผลักดันการแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ผ่านกลไกตามวิถีประชาธิปไตยที่เราต่างยึดมั่น
เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้กล่าวแสดงความขอบคุณ การทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทุกหน่วยงาน ที่ได้เตรียมการ อำนวยการ และปฏิบัติงานในการติดตาม อำนวยความสะดวก และดูแลความปลอดภัยการชุมนุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมทั้งขอขอบคุณผู้เข้าร่วมชุมนุม ที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ และร่วมกันชุมนุมอย่างสันติ
ชี้ผิดชัดเจน 3 ส่วนรวมปักหมุด
ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. และพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตร. แถลงความคืบหน้าหลังยุติการชุมนุมว่า พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. เป็นผู้รับหนังสือจากกลุ่มผู้ชุมนุม ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ ไม่ได้เป็นตัวแทนของสำนักงานองคมนตรี จากนั้น ดำเนินการตามขั้นตอนที่ผู้ยื่นมีความประสงค์
ส่วนที่จะนัดชุมนุมกันอีกครั้งในวันที่ 24 ก.ย. ที่รัฐสภานั้น ตำรวจก็ติดตามประเมินสถานการณ์ เพื่อวางกำลังให้เกิดความเหมาะสม แม้เจ้าหน้าที่จะใช้แผน “การชุมนุม 63”แต่ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เป็นความสำเร็จในเรื่องการเจรจา และเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายอยากให้เกิดขึ้น สำหรับแกนนำที่เข้าร่วมในการชุมนุมครั้งนี้ถูกออกหมายจับมาแล้วหลายคดี ถ้าพบมีการกระทำความผิดซ้ำ หรือผิดเงื่อนไขการประกันตัว จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ขณะที่ความผิดที่เกิดขึ้นใหม่หลังจากการชุมนุมในครั้งนี้ ก็ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวถึงกรณีกลุ่มผู้ชุมนุม ทำการปักหมุดจะเข้าข่ายความผิดใดบ้าง ว่า ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสนามหลวง ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ภายใต้การดูแลของ 2 หน่วยงาน คือ กทม. และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยกทม.เป็นหน่วยที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นที่สนามหลวงทั้งหมด ส่วนศธ.ดูแลตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ชุมนุมออกจาก ม.ธรรมศาสตร์ เข้ามายังสนามหลวง ที่กทม.เปิดให้ประชาชนใช้ทำกิจกรรมตามที่กำหนด พบว่ากลุ่มผู้ชุมนุม มีการฝ่าฝืนกฎหมาย การดำเนินการพักแรมค้างคืน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ กทม.ในฐานะดูแลจะต้องพิจารณาว่าการค้างคืนดังกล่าว เป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ อย่างไร
และการที่กลุ่มผู้ชุมนุมปักหมุดบนพื้นซีเมนต์ของท้องสนามหลวง กทม. ต้องประสานกับ ศธ.ว่าการกระทำดังกล่าว เข้าองค์ประกอบความผิดไหน อย่างไร จากการตรวจสอบตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ คาดว่าจะมีความผิดตามกฎหมาย ส่วนการจะดำเนินการนำหมุดออก หรือไม่ ถ้าดูแล้วไม่มีความจำเป็นกับสนามหลวง กทม. ก็ต้องมีการพิจารณาเพื่อนำออกไป การกระทำดังกล่าว มีความผิดต่างกรรม ต่างวาระ แม้ว่าเหตุการณ์จะต่อเนื่องกันก็ตาม เบื้องต้นพบความผิด 3 ส่วน ประกอบด้วย ดังนี้
1. ตั้งแต่ออกจาก ม.ธรรมศาสตร์ เข้าสู่สนามหลวง ถ้ากรณีสนามหลวงเปิดให้ประชาชนเข้าไปใช้บริการ ถือว่าเป็นพื้นที่สาธารณะ แต่การชุมนุมโดยไม่แจ้งให้จนท. ทราบก่อน ถือว่าเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเข้าสนามหลวงแล้วอยู่เกินเวลาที่กำหนด ถือว่าเป็นการกระทำผิด 2. เมื่อเข้าไปในสนามหลวงแล้ว อยู่ล่วงเลยเวลาที่กำหนด และ 3. การปักหมุดถือว่าเป็นส่วนเกิน ไม่ใช่สิ่งที่พึงมีในท้องสนามหลวง กทม. ต้องพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ตำรวจได้บันทึกภาพและเสียงผู้ที่กระทำความผิดไว้หมดแล้ว
ส่วนกรณีแกนนำปราศัยในเนื้อหาไม่เหมาะสมนั้น ก็ได้มีตำรวจ และพนักงานสอบสวนกว่า 40 นาย เฝ้าสังเกตการณ์ รวมทั้งบันทึกภาพและเสียง เพื่อพิจารณาว่า การปราศรัย หรือการให้สัมภาษณ์ เข้าข่ายความผิดอย่างไร ถ้าเข้าข่ายความผิด ก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ส.ว.สมชายจี้ฟันแกนนำม็อบผิดม.112
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการชุมนุมครั้งนี้ว่า #อนาคตใหม่ของแกนนำ มีแค่โรงพัก ศาล และเรือนจำ ... ประกาศชัยชนะแบบกระทันหัน ท่ามกลางความพ่ายแพ้ยับเยิน เพราะบุกลานพระรูปไม่ได้…ด้วยโดนบล็อกเส้นทางทั้งหมด พรรคการเมืองและมวลชน ไม่เล่นด้วย แกนนำจึงต้องนำคำประกาศโจมตีสถาบันฯ ที่คุยว่าเซอร์ไพรส์ บิ๊กเบิ้ม มาอ่านแถลงการณ์ และหาทางลงด้วยการยื่นเอกสาร ต่อสำนักองคมนตรี แต่ไม่มีใครรับ ... ให้ ผบช.น.รับไปเป็นหลักฐาน ในคดี หมิ่น112 , 116 แทน และม็อบอาจยุติลงโดยเร็ว #ชีวิตของพวกเขาจากนี้ต้องจบที่เรือนจำ
คลิปคำปราศรัยดังกล่าว เป็นการกระทำที่หมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ชัดเจน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112ผู้เขียนบทให้อ่านที่อยู่เบื้องหลังผู้ปราศรัย สถานีโทรทัศน์...และเจ้าของ ลูกชายนายใหญ่ ที่ร่วมมือกันกระทำการในสิ่งที่มิบังควร กระทบกระเทือนจิตใจคนไทยทั้งประเทศ
สมควรได้รับการพิจารณาดำเนินคดีตาม มาตรา112 อย่างเด็ดขาดต่อไปในเร็วๆนี้
"พี่ศรี"จ่อเอาผิดแกนนำม็อบ
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยการบุกรุกเข้าใช้สนามหลวง โดยไม่ได้ขออนุญาตจาก กทม. และมีการตัดทำลายรั้วซึ่งเป็นทรัพย์สินของทางราชการ และยังได้ทำการเจาะพื้นสนามหลวงให้เสียหาย และ ได้ทำพิธีฝังหมุดคณะราษฎร หมุดที่ 2 ลงในพื้นที่สนามหลวง ตามที่ได้มีการเตรียมการไว้แล้วนั้น
ทั้งนี้ สนามหลวงได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ มาตั้งแต่ปี 2520 มีชื่อว่า "โบราณสถานทุ่งพระเมรุ (สนามหลวง)" โดยที่ ม.32 ของ พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 ระบุว่า ผู้ใดบุกรุกโบราณสถาน หรือทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้เสื่อมค่าหรือ ทําให้ไร้ประโยชน์ซึ่งโบราณสถาน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 7 แสนบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ และโทษของการบุกรุกและทำลายโบราณสถานจะหนักขึ้นเป็น จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าโบราณสถานแห่งนั้นเป็นโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้ว
พฤติกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมและแกนนำ จึงถือเป็นกรรมหนัก ที่จะปล่อยให้ลอยนวลต่อไปมิได้ สมาคมฯ จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อ อธิบดีกรมศิลปากร และ ผอ.เขตพระนคร ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ในการสั่งการให้ทุบรื้อทิ้งเสีย ซึ่งหมุดคณะราษฎร หมุดที่ 2 พร้อมแจ้งความดำเนินคดี เพื่อเอาผิดผู้ที่บังอาจกระทำการฝ่าฝืนดังกล่าวข้างต้นโดยเร็ว โดยสมาคมฯ จะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 21 ก.ย.63 เวลา 10.00 น.
'พุทธะอิสระ'ลั่นถึงต้องปกป้องสถาบันฯ
อดีตพระพุทธะอิสระ ผู้ก่อตั้งวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หลวงปู่พุทธะอิสระ ถึงข้อเรียกร้องและการชุมนุมของม็อบปลดแอกว่า สงสัยว่า การชุมนุมครั้งนี้ ประเทศชาติจะได้อะไร ประชาชน จะได้อะไร เศรษฐกิจเมืองไทย มันจะดีขึ้นได้อย่างไร คนตกงาน มันจะน้อยลงไหม โรคโควิด มันจะหยุดระบาดด้วยหรือไม่ คุณภาพชีวิตคนไทย มันจะดีขึ้นอย่างไร
ที่สงสัยก็เพราะ ในฐานะที่เคยเป็นแกนนำการชุมนุมมาก่อน เวลาพวกเราชุมนุม ได้ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่า เราจักสู้ เพื่อประโยชน์ของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เรามีอุดมการณ์ชัดเจนว่า หลังจากที่เราสู้แล้ว ผู้ที่ได้ประโยชน์คือ ชาติ ประชาชน และสถาบันหลักของชาติต้องมั่นคง แต่พอพวกเราเห็นการชุมนุมของพวกที่เรียกตนเองว่า คณะปลดแอก ออกมาชุมนุมแล้วพุ่งเป้าโจมตีสถาบันฯ เป็นหลัก มันเท่ากับทำลายสิ่งที่พวกเราห่วงใย เช่นนี้ พวกเราคงยอมไม่ได้ ยิ่งแกนนำฯ มากล่าวอ้างว่า การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นฉันทามติของคนทั้งประเทศ พวกเรายิ่งยอมรับไม่ได้
จึงสงสัยว่า คนที่มาชุมนุมแค่ 3-4 หมื่นคน นี่หรือคนทั้งประเทศ เราจึงอยากจะส่งสัญญาณมายังผู้ที่รักสถาบันฯ ว่า คงจะถึงเวลาแล้วแหละ ที่คนกตัญญูต่อแผ่นดิน จะออกรวมตัวกันแสดงพลัง ปกป้องสถาบันฯ และส่งสัญญาณบอกให้คณะปลดแอกได้รับรู้ว่า คนในประเทศนี้ เขารักสถาบันฯ กันมากขนาดไหน
"โจชัว หว่อง" ทวีตหนุนม็อบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมครั้งนี้ "โจชัว หว่อง" แกนนำกลุ่มชุมนุมประท้วงที่ฮ่องกง ได้ทวีต ให้กำลังใจ ความว่า ถึงแม้ฝนจะตกหนัก คนจำนวนหลายหมื่นของไทย ได้จัดการประท้วงที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ปี 2014 ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และอนาคตของพวกเขาในวันนี้ เป็นที่ชัดเจนว่า ความอุตสาหะอย่างไม่ย่อท้อในความรักที่มีต่อที่พวกเขาอยู่ ผู้คนในประเทศไทยกำลังสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง
ในทวีตที่ 2 หว่องกล่าวว่า "ผมรู้สึกหวั่นไหวไปกับในสิ่งที่หญิงชราวัย 68 ปีกล่าวว่า " ดิฉันมาที่นี่เพื่อสู้ให้กับอนาคตของลูกๆ และหลานๆ ของตัวเอง ดิฉันหวังว่าในเวลาที่ดิฉันเสียชีวิต พวกเขาจะเป็นอิสระ ในต้นทุนของพวกเราเพื่อประชาธิปไตย หัวใจของชาวฮ่องกงจะอยู่เคียงข้างพวกคุณ"
ขณะที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกแถลงการณ์ รำลึกครบรอบ 14 ปีที่ถูกทำรัฐประหาร โดยกล่าวยืนยันว่า ถึงเวลาที่ประเทศต้องเปลี่ยนความคิดและวิธีการปกครองประเทศ โดย "ทักษิณ" โพสต์บนเฟซบุ๊ก มีใจความว่า "มันถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนวิธีในการคิด และการปกครองประเทศของเรา เพราะตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้ล้าหลังจากชาติอื่นๆ"