xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จับตาว่าที่ “ขุนคลังใหม่” “สมชัย-ชาติชาย-ประสงค์-กานต์” ใครมาก็แค่ “ตรายาง” ใต้ระบบรัฐราชการเต็มขั้น

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เรียกได้ว่าวุ่นกันทั้งบ้านทั้งเมืองเมื่อมีข่าวกระพือรัฐบาลถังแตกหมดตูดดีเลย์จ่ายเบี้ยคนชรา คนพิการ ซึ่งถือเป็นบุคคลกลุ่มอ่อนไหวที่ต้องได้รับการดูแลก่อนใครทั้งสิ้น บวกกับความล่าช้าในการพิจารณางบประมาณปี 2564 ไม่ทันตามเวลา มะรุมมะตุ้มกันมาในจังหวะที่ควานหา “ขุนคลัง” คนใหม่ มาแทน “นายปรีดี ดาวฉาย” อดีตรัฐมนตรีอายุยี่สิบเจ็ดวันยังไม่ได้ แถมด้วยซาวด์เขย่าขวัญเตือนนักสู้กู้สิบทิศระวังอีกไม่นานหนี้ท่วมประเทศ ไม่นับปฏิกิริยาเร่งองศาเดือดจากม็อบเยาวชนคนรุ่นใหม่ผสมโรงเข้ามาอีก

แม้ว่าเวลานี้ ปมเซนซิทีฟต่ออารมณ์สังคมเรื่องเบี้ยคนชรา คนพิการ จะคลี่คลายเมื่อกรมบัญชีกลาง ออกมายืนยันว่าพร้อมโอนแล้วจ้า ขณะที่ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องฝ่าฟันบรรยากาศขาลงตามที่หลายฝ่ายประเมินกันล่วงหน้าช่วง “เดือนตุลาฯ อาถรรพ์” อาจมีเหตุไม่คาดฝัน ตามดวงเมืองที่โหรดัง  “โสรัจจะ นวลอยู่”  เจ้าของฉายา “นอสตราดามุสเมืองไทย” ทำนายทายทักเอาไว้ว่า เดือนตุลาฯมหาวิปโยค การเมืองลุกเป็นไฟ เป็นเดือนแห่งการก่อวินาศกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด

รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องเร่งมือปลดชนวน คลี่ปมเงื่อนที่จะนำไปสู่ความไม่สงบของสังคมทุกทิศทาง ยิ่งในยามที่ยังไม่สามารถควานหา “ขุนคลังคนใหม่” มาทำงานด้วยแล้ว ก็ยิ่งส่ง “ผลทางจิตวิทยา” ยังคงดำรงอยู่ในจิตใจของผู้คนไม่เสื่อมคลาย


 กลุ่มทุนใหญ่เหนือรัฐบาลหนุน “ว่าที่ขุนคลัง” 
สำหรับ “ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่”  นั้น ถือเป็นปัญหาที่รุมสุมทรวง “นายกฯ ลุงตู่”  ไม่น้อยแม้ตัวเองจะไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักเพราะทุกวันนี้ก็นั่งเป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” อยู่แล้ว เพียงแต่มิอาจไม่มีขุนคลังเพราะทุกประเทศในโลกนี้เขามีกันทั้งนั้น และที่ผ่านมากว่าจะหาคนมาแทน “อุตตม สาวนายน”  ก็เล่นเอาหืดจับ พอเกลี้ยกล่อมจนยอมมาทำงานด้วย “ปรีดี ดาวฉาย” ก็ทิ้ง “เรือเหล็ก”  ไปภายในเวลาไม่ถึงเดือน

อย่างไรก็ดี เวลานี้ก็พอจะเห็นบ้างแล้วว่า มีใครอยู่ในโผบ้าง ที่โผล่มาก่อนเพื่อนก็คือ “เสี่ยสันติ พร้อมพัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ประกาศตัวว่า “พร้อมมาก”  แต่ดูเหมือนจะไม่น่าจะได้รับความสนใจสำหรับ “นายกฯ ลุงตู่” ในฐานะเจ้าของโควตาเก้าอี้ตัวนี้ แม้จะมีแรงหนุนจาก “พรรคพลังประชารัฐ” สุดกำลังก็ตาม จากนั้นก็มีรายชื่อ “คู่แข่ง” โผล่ออกมาท้าชิงอีก 4 คนด้วยกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น “คนนอก” คือมิใช่ ส.ส. ทั้งสิ้น


 คนแรกก็คือ “ชาติชาย พยุหนาวีชัย” อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
คนที่สอง “สมชัย สัจจพงษ์” อดีตปลัดกระทรวงการคลัง
คนที่สาม “กานต์ ตระกูลฮุน” อดีตผู้บริหาร เอสซีจี
และคนที่สี่คือประสงค์ พูนธเนศ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง 

ชื่อชั้นของทั้ง 4 คนหากเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ถือว่าสูสี และจากโปรไฟล์การทำงาน ประวัติ และคอนเนกชัน ก็มีดีต่างกันไป แต่เรตติ้งตามกระแสชั่วโมงนี้ ดูเหมือนจะเบียดกันอยู่แค่ 2 คนคือ “ชาติชาย พยุหนาวีชัย” และ “สมชัย สัจจพงษ์” 

กล่าวสำหรับ “ชาติชาย” พอตกเป็นข่าว เจ้าตัวเองก็ไม่มีเม้ม และข่าววงในก็ว่ากันว่า ลึกๆ แล้ว “ชาติชาย” ก็ดูจะมั่นใจว่าตัวเองนั้นอยู่ในสายของผู้ใหญ่ในรัฐบาล เห็นได้จากการให้สัมภาษณ์สื่อ หลังมีชื่อติดโผก็ออกตัวอย่างแรง ว่า น่าจะมาจากการผลักดันของผู้ใหญ่ในวงการหลายคนที่เห็นประสบการณ์การทำงาน และผลงานการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาลเป็นอย่างดี แถมยังบอกว่าด้วยว่า ที่ผ่านมาโชคดีที่มีโอกาสทำงานร่วมกับธนาคารพาณิชย์ และธนาคารของรัฐ รวมถึงกระทรวงการคลังมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีประสบการณ์ตรง …แหมจะบอกว่า สามารถทำงานเข้าขากับ “รมช.สันติ” และมือเศรษฐกิจของพรรคอย่าง “มาดามแหม่ม-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ก็ว่ากันมาตรงๆ เลยก็ได้

เมื่อ “ชาติชาย” ประกาศ “พร้อมมาก” อย่างนี้ ถ้าไม่บอกว่า “มั่นใจ” ก็คงไม่รู้ว่าจะว่าอย่างไรแล้ว

ด้าน “สมชัย สัจจพงษ์” นั้นเรียกว่าเบียดกับ “ชาติชาย” ชนิดลมหายใจรดต้นคอและเผลอๆ จะเบียดเข้าเส้นชัยอีกต่างหากด้วยมีแรงหนุนสำคัญอยู่ที่ “กลุ่มทุนอุปถัมภ์เหนือรัฐบาล”  ซึ่งส่ง “อดีตปลัดอู้” เข้าประกวด และที่สำคัญคือเมื่อไล่เรียง  “แผนภูมิคอนเนกชัน”  แล้ว ก็อยู่ในสายเดียวกับ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานอีกต่างหาก

ดังนั้น ถ้า “สมชัย” เข้าวินก็น่าจะทำงานเข้าขากับ “สุพัฒน์พงษ์” รวมกระทั่ง “นายกฯ ลุงตู่” นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ตัวจริงได้เป็นอย่างดี

ส่วน “ประสงค์ พูนธเนศ” ทีแรกก็ไม่ได้มีใครให้ความสนใจมากนัก แต่หลังจากที่ “นายกฯ ลุงตู่” บอกว่า จะประกาศชื่อในเดือนตุลาคม ราศีก็จับ “ประสงค์” ทันที ด้วยเขากำลัจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนนี้ และเกิดคำถามตามมาว่า เหตุที่ยังไม่รีบตั้งในตอนนี้เป็นเพราะรอให้ “ประสงค์” เกษียณอายุราชการ ใช่หรือไม่ ที่สำคัญคือเป็นที่รับรู้กันว่า “นายกฯ ลุงตู่” ค่อนข้างชื่นชอบการทำงานของนายประสงค์ที่คล่องแคล่วและสามารถตอบสอบคำสั่งการได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสามารถทำงานร่วมกับฝ่ายการเมืองและได้รับการสนับสนุนจากแวดวงการเงินการคลังพอสมควร

อย่างไรก็ดี ไม่ว่า “ใครจะมา” ก็ไม่สำคัญ เพราะชั่วโมงนี้ การบริหารราชการแผ่นดินของไทยในยุค “รัฐบาลลุงตู่” ดำเนินไปภายใต้ “ระบบรัฐราชการ” อย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้น จงอย่าแปลกใจที่สุดท้ายแล้วการเลือกใครมาทำงานก็เป็นไปตามแนวคิดนี้ ยิ่งผู้ที่เคยเป็น “เบอร์หนึ่ง” ในระบบราชการซึ่งเคยทำงานกับรัฐบาลนี้ ยิ่งค่อนข้างได้เปรียบกว่ารัฐมนตรีที่มาจากภาคธุรกิจแต่เพียงอย่างเดียว

ใครจะว่า “ย้อนยุค” ก็ไม่ระคายหู เพราะนี่คือ New Normal ของรัฐบาลนี้

ส่วนสุดท้ายแล้วใครจะมาเป็น “ตรายาง” เดือนตุลาคมนี้ก็คงรู้กันตามที่ “นายกฯ ลุงตู่” ส่งสัญญาณชัดๆ ออกมาแล้ว


เงินคลังถังหนา งบล่าช้า เบี้ยคนชราวุ่น
จากเรื่อง “ขุนคลัง” ไปกันที่เรื่องใกล้ตัวกระแทกใจประชาชนในสังคมที่เข้าสู่วัยชรา ซึ่งกระพือโดยเฟซบุ๊กของกรมบัญชีกลาง ที่ประกาศว่าการจ่ายเบี้ยยังชีพของผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ซึ่งปกติต้องโอนเข้าบัญชีผู้ได้รับสิทธิ์ทุกวันที่ 10 ของทุกเดือนว่า เดือนกันยายนนี้ จะล่าช้าหน่อย เพราะกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กระทรวงมหาดไทย มีงบไม่เพียงพอ ต้องขอจัดสรรเพิ่มเติมจากสำนักงบประมาณเสียก่อน

ตามระบบระเบียบแล้ว เบี้ยคนชรา-พิการ สถ.เป็นเจ้าของเรื่อง ส่วนกรมบัญชีกลาง เป็นหน่วยงานโอนเงิน เมื่องบไม่พอทำให้ระบบ GSMIS ของกรมบัญชีกลาง โอนเงินกระจายไปยังท้องถิ่นทั่วประเทศกว่า 7 แห่งไม่ได้

นั่นเท่ากับว่า กรมบัญชีกลาง โยนขี้ให้ สถ. ว่าเงินขาดมือไม่มีเงินพอจัดสรรเงินเข้ามาในระบบ คนของ สถ. โดยนายชัชวาลย์ วงศ์สวรรค์ ประธานชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (แห่งประเทศไทย) ก็ซัดกลับผ่านทางเพจ “ชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” ว่ากรมบัญชีกลาง ไม่ควรโยนความผิดมาให้องค์การปกครองท้องถิ่น (อปท.) เพราะกรมฯเคยว่ามีเงินสำรองจ่าย 1,500 ล้านบาท เผื่อขาดเหลือ แล้วเงินส่วนนั้นไปไหนทำไมไม่เอามาสำรองจ่ายก่อนแล้วค่อยมาเรียกเก็บกับ อปท. ทีหลังก็ได้

โต้กันไปมาเรื่องก็ชักจะไปกันใหญ่ กลายเป็นข่าวกระพือคลังถังแตก กรมบัญชีกลางกับอปท.จึงรีบจบศึก โดย สถ. ประสานกับสำนักงบฯ เร่งเติมเงินเข้าระบบ กรมบัญชีกลาง ก็ออกมายืนยันได้รับงบจาก สถ. ครบ 7 พันล้านแล้ว จากเดิมที่มีอยู่ 1.7 พันล้าน และพร้อมโอนเข้าบัญชีวันที่ 17 กันยายน ส่วนที่รับกับผู้นำท้องถิ่นอาจช้ากว่านั้นวันสองวัน จบปัญหากันไประหว่างหน่วยงานรัฐ

แต่สำหรับความกังขาของสังคม กระทรวงคลัง จำต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมให้กระจ่างชัด และเรียกความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลโดยเร็วที่สุด

ในวันถัดมา นายประสงค์ พูนธเนศ  ปลัดกระทรวงการคลัง ออกชี้แจงว่า การเบิกจ่ายเบี้ยคนพิการและผู้สูงอายุที่ล่าช้าออกไปจากเดิมจะต้องโอนในวันที่ 10 ของเดือนนั้น ไม่อยากให้มองในแง่ร้ายเกินไป เพราะล่าช้าไปเพียงสัปดาห์เดียว

ส่วนสาเหตุที่ล่าช้าปลัดคลัง ก็ว่าเนื่องจากรัฐบาลไม่ได้คำนวณไว้ว่าจะมีผู้สูงอายุมีอายุยืนมากขึ้น ทำให้ตัวเลขไม่ตรงกับประมาณการและงบประมาณที่ตั้งไว้ ซึ่งได้นำเงินส่วนอื่นมาชดเชยแล้ว ส่วนเดือนตุลาคมที่จะปรับเพิ่มเบี้ยคนพิการจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท คาดว่าจะไม่มีปัญหา เพราะมีเงินเพียงพอ และรัฐบาลเตรียมเงินไว้ล่วงหน้าแล้ว

ส่วนประเด็นคลังถังแตกเพราะเงินไม่เข้าเก็บภาษีพลาดเป้าไปเยอะนั้น นายประสงค์ แจกแจงว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 ยอดจัดเก็บภาษีของกรมต่างๆ ยังเป็นไปตามเป้าหมาย แม้บางหน่วยงานจะจัดเก็บต่ำกว่าเป้าบ้าง แต่บางหน่วยงานจัดเก็บเกินเป้า เช่นในฝั่งรัฐวิสาหกิจ ส่วนกรณีที่กรมสรรพากร เลื่อนการจัดเก็บรายได้จากเดิมต้องเก็บช่วงกลางปีนั้น จะทำให้มีเงินเข้ามาในเดือนสิงหาคม – กันยายนนี้ และยังมีส่วนที่ขอทยอยจ่ายช่วงเดือน ตุลาคม – พฤศจิกายน 2563 เพิ่มเติมอีก เม็ดเงินส่วนนี้จะเพิ่มรายได้จัดเก็บในปีงบ ประมาณ 2564

“รัฐบาลยังมีเงินคงคลังอยู่ไม่ต่ำว่า 300,000 ล้านบาท สามารถดูแลยอดจัดเก็บต่างๆ ที่แต่ละกรมคาดการณ์ไว้ได้ ยืนยันว่าถังไม่แตก ถังยังดีอยู่ และหนาหลายชั้น ส่วนในช่วงที่ผ่านมาที่บอกว่าส่งออกแย่ แต่จริงๆ การส่งออกของไทยลดลงแค่ 9% เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับดี” นายประสงค์ พยามแจกแจงสถานการณ์

สวนทางกับอารมณ์ของท่านผู้นำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ถูกถามไถ่เรื่องนี้มาหลายรอบและตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนชักเอือมระอา ดังนั้น พอเจอนักข่าวถามย้ำคำเดิมว่า มีคนมองว่าขณะนี้งบการเงินการคลังของประเทศมีไม่เพียงพอ หรืออาจเรียกได้ว่าถังแตก พล.อ.ประยุทธ์ จึงตอบกลับอย่างมีอารมณ์ว่า “เขาพูดกันมาร้อยครั้งร้อยเที่ยวแล้ว ..... กระทรวงการคลัง ก็พูด ดังนั้น ต้องไปดูว่าคนที่ออกมาเขียนในลักษณะเงินหมด รัฐบาลตูดขาด ก็มีการยืนยันแล้วว่าเงินสำรองมีมากมาย จึงสามารถเอาเงินเหล่านี้ออกมาใช้ก่อนที่งบประมาณรายจ่ายประจำปีจะออกมา”

คนที่มองว่าเงินคลังมีไม่พอหรือถังแตก หนึ่งในนั้นคือนายสมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในสมัยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เฟสแรก นั่นเองที่ออกมาแสดงความเห็นใจ สงสาร พล.อ.ประยุทธ์ ที่ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจ และเชื่อข้าราชการว่าคลังถังไม่แตก เพราะข้าราชการต้องการเอาใจการเมือง เลยให้ข้อมูลที่ไม่ครบ พวกนี้ไม่เคยเห็นโลงศพ ตอนนี้คนฐานรากมีอำนาจซื้อที่ไหนกัน ที่ว่าเงินคงคลังแข็งแกร่งเพราะงบประมาณยังจ่ายไม่ค่อยออก งบเงินกู้ก็ไม่ค่อยได้เบิก คอยดูอีก 6 เดือน ก็คงเห็นภาระหนี้ประเทศจะพุ่ง และเงินคงคลังก็จะมีแต่หมดลง

ก่อนหน้านี้ นายสมหมาย เสนอให้รัฐบาลขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีแวตจาก 7% เป็น 9% ซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น 1.2 แสนล้านบาท เป็นการเพิ่มรายได้ภาครัฐแก้ปัญหาคลังถังแตก และลดการกู้เงินมาโป๊ะเงินคงคลังให้เพียงพอต่อการใช้จ่าย เพราะการหวังใช้เงินกู้อย่างเดียวจะมีปัญหาการเงินการคลังในไม่ช้า โดยคาดว่าในปี 2564 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะสูงเกิน 60% ต่อจีดีพี ซึ่งเกินกรอบความยั่งยืนการคลังที่กำหนดไว้

การที่คลังอ้างว่าไม่ควรขึ้นแวตเพราะมีเงินคงคลังอยู่มาก นายสมหมาย เห็นว่า เป็นการพูดที่อธิบายไม่หมด จึงอยากบอกให้รัฐบาลและประชาชนรับรู้ว่าเงินคงคลังเป็นเงินทุนหมุนเวียนของประเทศ ตอนนี้ไม่มีแล้ว เงินคงคลังที่มีอยู่มาจากเงินกู้ที่เสียดอกเบี้ยทั้งนั้น เพราะประเทศทำงบประมาณแบบขาดดุลมาตลอด

“ผมอยากบอก นักการเมืองและประชาชนว่า เงินคงคลังเป็นเงินที่มาจากเงินกู้ทั้งนั้น แค่ปีงบประมาณ 2563 กู้ชดเชยเพื่อขาดดุลนำเงินเข้าคลังกว่า 4 แสนล้านบาท ยังไม่พอ ต้องขอกู้เพิ่มอีก 2 แสนล้านบาท ต้องมาเติมเงินคงคลัง ไม่งั้นเงินคงคลังหมด เงินคงคลังไม่มี” นายสมหมาย กล่าว

นอกจากเสนอขึ้นภาษีแวตแล้ว นายสมหมาย ยังเสนอลดเงินเดือนข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีคนมากกว่างาน ยิ่งมีโควิด-19 ทำงานน้อยลงแต่เงินเดือนเท่าเดิมต่างจากบริษัทเอกชนที่ลดรายจ่าย ลดพนักงานไปแล้วไม่น้อยกว่า 25% และรัฐบาลไม่ควรลดภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลงเหลือเพียง 10% ซึ่งทำให้รายได้ท้องถิ่นลดลงจากที่คาดว่าจะเก็บได้มากกว่าแสนล้านเหลือไม่ถึงสองหมื่นล้าน รวมทั้งควรปรับปรุงการเก็บภาษีมรดกที่เก็บได้เพียงปีละร้อยกว่าล้านเท่านั้นเสียใหม่ รัฐบาลต้องแก้เศรษฐกิจแบบฉีกแนว ทำแบบเดิมไม่มีอะไรดีขึ้น นายกรัฐมนตรีควรตัดสินใจเพราะถ้าไม่ทำประเทศก็อยู่ไม่ได้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีแวตที่ 7% ต่อไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เพื่อลดภาระค่าครองชีพและกระตุ้นการบริโภค

ปนเปกันไปทั้งเรื่องคลังถังแตก ตูดขาด ทั้งเรื่องงบประมาณประจำปี 2564 ที่ล่าช้าเพราะบังคับใช้ไม่ทันวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ซึ่งปลัดกระทรวงการคลัง ก็ยืนยันว่า งบปี 2564 ที่ล่าช้าจะไม่ส่งผลกระทบกับการลงทุนในประเทศ เพราะบังคับใช้ล่าช้าเพียง 1 เดือนเท่านั้น นอกจากนี้งบประมาณ 2563 ที่ผ่านมา งบประมาณก็เบิกจ่ายล่าช้าไปถึง 8-9 เดือน แต่การลงทุนก็ยังไม่มีปัญหา

“การเบิกจ่ายล่าช้าติดกันถึง 2 ปีนั้นเป็นเรื่องที่เหนือการควบคุม แต่ผมขอยืนยันว่าไม่มีผลต่อการใช้จ่ายของรัฐบาลในการใส่เงินลงสู่ประชาชนรากหญ้า และการลงทุน ส่วนสาเหตุที่งบปี 2564 ล่าช้า เกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนการอนุมัติงบในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว” นายประสงค์ กล่าว

ความล่าช้าของบปี 2564 นั้น  นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเปิดประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณประจำปีงบประมาณ 2564 ระหว่างวันที่ 16-17 กันยายน และถ้าไม่จบก็ต่อเพิ่มอีกวันนั้น ออกหน้ารับแทนว่าความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบปี 2564 ไม่ใช่ความผิดของสำนักงบฯ แต่เพราะมีการส่งร่างกฎหมายงบประมาณมาถึงสภาฯ และมีเวลาให้สมาชิกพิจารณาเอกสารเพียง 7 วัน จากปกติ 10 วัน จึงขยายเวลาออกไปเพื่อให้สมาชิกได้พิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบ

อย่างไรก็ตาม ประธานฯ ชวน เชื่อว่าจะไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นเพราะยังไม่มีการเลื่อนจ่าย โดยขั้นตอนของสภาฯ เมื่อพิจารณาแล้วเสร็จจะส่งต่อไปวุฒิสภา ซึ่งจะทันในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ปีต่อไปขอให้สำนักงบฯ ส่งเอกสารมาสภาฯ อย่างน้อยให้สมาชิกได้มีโอกาสศึกษาประมาณ 10 วัน

งบช้าไม่ช้าตัวแปรหนึ่งต้องพุ่งเป้าไปยัง  นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ผู้เสนอตัวคุณสมบัติเพียบพร้อมขึ้นเป็น “ขุนคลัง” คนใหม่ ซึ่งนั่งเป็นประธานกรรมาธิการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ตามที่มีกระแสข่าวว่า “เฮียสันติ” ที่ส้มหล่นได้เป็นประธานกรรมาธิการฯแทน รมว.คลัง คนก่อน คุมเกมการประชุมงบไม่ได้ แบบที่ว่านั่งเป็น “หัวโต๊ะ” ทำได้แค่เปิด-ปิดประชุมเท่านั้น ส่วนการควบคุมการประชุมที่ดุเดือดเลือดพล่านยังต้องไหว้วานให้รองประธานฯ ผลัดเปลี่ยนมาทำหน้าที่แทน เพราะ “เฮียสันติ” คุมเกมไม่อยู่ซะอย่างนั้น

เมื่องบล่าช้า นายสันติ ก็ทำได้แต่เพียงออกมาเรียกความเชื่อมั่นว่า แม้การใช้งบปี 64 จะล่าช้ากว่ากำหนดการไปหนึ่งเดือน แต่ยืนยันว่าไม่สะดุด ทุกอย่างยังเดินหน้าตามกรอบเวลา เพราะยังสามารถใช้กรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ไปพลางก่อนได้ เงินคงคลังยังเข้มแข็งดึงมาใช้สำรองในช่วงนี้ได้

นายกรัฐมนตรี ก็ยืนยันตามกันไปว่า เรื่องงบประมาณปี 2564 ล่าช้าถามนายสันติ แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ตนก็ขอให้เร่งออกมา เพราะตอนนี้ประชาชนต่างรอคอย

ยังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งเดือน ลุ้นกันต่อว่างบประมาณปี 2564 จะดีเดย์ได้ต้นเดือนตุลาคมอย่างที่ประธานฯชวน หลีกภัย ว่าไว้ หรือจะเลื่อนออกไปอีกเดือนตามกระแสเสียงฝั่งรัฐบาล แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่มรสุมรุมเร้าเข้ามาทุกทาง เรือเหล็ก “ลุงตู่” จะอับปางเซ่นตุลาฯอาถรรพ์ หรือไม่ ก็ชวนหวาดเสียวอยู่ไม่น้อย


กำลังโหลดความคิดเห็น