คณะกรรมการปฏิรูปฯ เตรียมเสนอ 5 Big Rock ปฏิรูปด้านพลังงาน หวังผลสำเร็จปี 65 พร้อมสร้างงานกระตุ้น ศก. เตรียมนำความเห็นหลังเปิดประชาพิจารณ์ ปรับปรุงแผนก่อนชง ครม. ภายในเดือน พ.ย.นี้
วานนี้ (3 ก.ย.) นายพรชัย รุจิประภา ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน เปิดเผยหลังการเปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานว่า การปฏิรูปประเทศด้านพลังงานจำเป็นต้องทบทวน และปรับปรุงให้สอดรับกับการใช้พลังงานภาพรวมของประเทศที่ลดลง หลังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 พร้อมกับตอบโจทย์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยใช้ นโยบายพลังงาน ลดเหลื่อมล้ำ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงเสนอ 5 ประเด็นเร่งด่วน ที่จำเป็นต้องปฏิรูปที่สำคัญหรือ Big Rock เพื่อเปลี่ยนแปลงพลังงานไทยให้เป็นรูปธรรม ภายในปี 2565 และเมื่อรับฟังความเห็นแล้ว จะนำไปปรับปรุงร่างแผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงานฉบับที่ 2 Big Rockให้สมบูรณ์ ก่อนนำเสนอ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบ ประมาณเดือน พ.ย.63 และรายงานต่อรัฐสภาเพื่อทราบ และประกาศบังคับใช้ต่อไป
สำหรับ 5 Big Rock ปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน ได้แก่ กิจกรรมการปฏิรูปที่ 1.การจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service)ด้ านการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อลดเวลาและขั้นตอนการอนุญาตที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน ปลดล็อกข้อจำกัด เช่น การสร้างโรงไฟฟ้าต้องยื่นขออนุญาตจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพียงหน่วยงานเดียว เป็นต้น
2. การพัฒนาศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ (NEIC) ควรเป็นหน่วยงานอิสระ จากกระทรวงพลังงาน และเป็นศูนย์กลางแหล่งข้อมูลด้านพลังงาน ที่โปร่งใส แม่นยำ เชื่อถือได้ จึงต้องเร่งสร้าง Branding NEICให้เป็นที่น่าเชื่อถือ ผ่านการจัดตั้งกลไกกลั่นกรองข้อมูลที่เป็นระบบ
3.มาตรการธุรกิจบริษัทจัดการพลังงาน ESCO เพื่อเปลี่ยน“ค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค”เป็น การจ้างเอกชนมาลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนและอนุรักษ์พลังงานให้อาคารของรัฐ ผ่านกลไกการรับประกันผลงาน และตรวจวัดพิสูจน์ผลโดยบุคคลที่ 3 หรือ หน่วยงานให้การรับรอง (Third Party Audit) โดยมีกลุ่มเป้าหมายระยะแรก จำนวน 876 อาคารรัฐ คาดว่าจะช่วยประหยัดพลังงานภาครัฐ คิดเป็นมูลค่า 2,600 ล้านบาท/ปี เป็นต้น
4.การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ระยะที่ 4 เพื่อสร้างฐานทางเศรษฐกิจใหม่ (New S-Curve)เพราะโรงกลั่นอายุส่วนใหญ่เกิน 60 ปี ปิโตรเลียม ยังจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน จึงต้องยกระดับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชนจากอุตสาหกรรมต่อเนื่อง พร้อมรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ ไทยแลนด์ 4.0
และ 5.ปฏิรูปโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ โดยปฏิรูปแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย PDP2022 ทั้งด้านการบริหารและโครงสร้างราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อเพิ่มการแข่งขันและประสิทธิภาพในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เปลี่ยนระบบการผลิตจากรวมศูนย์สู่กระจายศูนย์ แยกระบบส่งและศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าออกจากกิจการผลิตไฟฟ้า เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ไฟฟ้ามีทางเลือกมากขึ้น รวมทั้งการผลิตใช้เองและขายเข้าระบบ พร้อมปฏิรูปการบริหารจัดการของ 3 การไฟฟ้า ให้ประสานเชื่อมโยงแผนลงทุน และแผนปฏิบัติการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เป็นต้น
วานนี้ (3 ก.ย.) นายพรชัย รุจิประภา ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน เปิดเผยหลังการเปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานว่า การปฏิรูปประเทศด้านพลังงานจำเป็นต้องทบทวน และปรับปรุงให้สอดรับกับการใช้พลังงานภาพรวมของประเทศที่ลดลง หลังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 พร้อมกับตอบโจทย์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยใช้ นโยบายพลังงาน ลดเหลื่อมล้ำ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงเสนอ 5 ประเด็นเร่งด่วน ที่จำเป็นต้องปฏิรูปที่สำคัญหรือ Big Rock เพื่อเปลี่ยนแปลงพลังงานไทยให้เป็นรูปธรรม ภายในปี 2565 และเมื่อรับฟังความเห็นแล้ว จะนำไปปรับปรุงร่างแผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงานฉบับที่ 2 Big Rockให้สมบูรณ์ ก่อนนำเสนอ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบ ประมาณเดือน พ.ย.63 และรายงานต่อรัฐสภาเพื่อทราบ และประกาศบังคับใช้ต่อไป
สำหรับ 5 Big Rock ปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน ได้แก่ กิจกรรมการปฏิรูปที่ 1.การจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service)ด้ านการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อลดเวลาและขั้นตอนการอนุญาตที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน ปลดล็อกข้อจำกัด เช่น การสร้างโรงไฟฟ้าต้องยื่นขออนุญาตจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพียงหน่วยงานเดียว เป็นต้น
2. การพัฒนาศูนย์สารสนเทศพลังงานแห่งชาติ (NEIC) ควรเป็นหน่วยงานอิสระ จากกระทรวงพลังงาน และเป็นศูนย์กลางแหล่งข้อมูลด้านพลังงาน ที่โปร่งใส แม่นยำ เชื่อถือได้ จึงต้องเร่งสร้าง Branding NEICให้เป็นที่น่าเชื่อถือ ผ่านการจัดตั้งกลไกกลั่นกรองข้อมูลที่เป็นระบบ
3.มาตรการธุรกิจบริษัทจัดการพลังงาน ESCO เพื่อเปลี่ยน“ค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค”เป็น การจ้างเอกชนมาลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนและอนุรักษ์พลังงานให้อาคารของรัฐ ผ่านกลไกการรับประกันผลงาน และตรวจวัดพิสูจน์ผลโดยบุคคลที่ 3 หรือ หน่วยงานให้การรับรอง (Third Party Audit) โดยมีกลุ่มเป้าหมายระยะแรก จำนวน 876 อาคารรัฐ คาดว่าจะช่วยประหยัดพลังงานภาครัฐ คิดเป็นมูลค่า 2,600 ล้านบาท/ปี เป็นต้น
4.การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ระยะที่ 4 เพื่อสร้างฐานทางเศรษฐกิจใหม่ (New S-Curve)เพราะโรงกลั่นอายุส่วนใหญ่เกิน 60 ปี ปิโตรเลียม ยังจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน จึงต้องยกระดับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชนจากอุตสาหกรรมต่อเนื่อง พร้อมรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่ ไทยแลนด์ 4.0
และ 5.ปฏิรูปโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ โดยปฏิรูปแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย PDP2022 ทั้งด้านการบริหารและโครงสร้างราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อเพิ่มการแข่งขันและประสิทธิภาพในธุรกิจพลังงานไฟฟ้าให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี เปลี่ยนระบบการผลิตจากรวมศูนย์สู่กระจายศูนย์ แยกระบบส่งและศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้าออกจากกิจการผลิตไฟฟ้า เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ไฟฟ้ามีทางเลือกมากขึ้น รวมทั้งการผลิตใช้เองและขายเข้าระบบ พร้อมปฏิรูปการบริหารจัดการของ 3 การไฟฟ้า ให้ประสานเชื่อมโยงแผนลงทุน และแผนปฏิบัติการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เป็นต้น