ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นำร่องสะสางปัญหาซากรถเก่าที่ถูกจอดทิ้งอยู่ในพื้นที่สาธารณะจุดรกร้างทั่วกรุงเทพฯ เปิดช่องให้ประชาชนร่วมแจ้งเบาะแสรับเงินรางวัลนำจับส่วนแบ่ง 50 เปอร์เซ็นต์ของค่าปรับ และหากไม่มีผู้แสดงตัวเป็นเจ้าของซากรถภายใน 6 เดือน จะดำเนินการขายทอดตลาดในทันที
มาตรการดังกล่าวเป็นไปตามอำนาจ พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 โดยกรุงเทพมหานคร (กทม.) ภายใต้คำสั่งการของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ที่กำลังจะหมดวาระลงในเร็ววันนี้ สั่งการให้มีการจัดการดูแลปัญหาจอดทิ้งซากรถยนต์ไว้บนถนนหรือสถานสาธารณะ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามามากที่สุด
ข้อสำคัญคือเปิดช่องทางให้ประชาชนผู้พบเห็นการจอดทิ้งซากรถยนต์ มีส่วนร่วมดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่กรุงเทพฯ สามารถร่วมแจ้งข้อมูลได้ที่ฝ่ายเทศกิจทุกสำนักงานเขต หลังจากนั้นหากมีการจับปรับเกิดขึ้น ผู้แจ้งจะได้ส่วนแบ่ง 50 เปอร์เซ็นต์ของค่าปรับ เช่นเดียวกับ มาตรการแจ้งเบาะแสการขับขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นบนทางเท้าที่ กทม. ดำเนินการมาแล้ว
สำหรับอัตราการเปรียบเทียบปรับ บทลงโทษตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ มาตรา 18 ห้ามมิให้ผู้ใดทิ้ง วาง หรือกองซากยานยนต์บนถนนหรือสถานสาธารณะ และมาตรา 56 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท แต่อย่างไรก็ดี กทม. ยังอยู่ระหว่างหาข้อสรุปเรื่องอัตราปรียบเทียบปรับซึ่งจะเริ่มต้นที่ 1,000 บาท 2,000 บาท 3,000 บาท หรือ 5,000 บาท ซึ่งครึ่งหนึ่งของค่าปรับหรือ 50 เปอร์เซ็นต์จะเป็นส่วนแบ่งของผู้แจ้งเบาะแส
ในส่วนของการดำเนินคดีตามกฎหมายนั้น จะมีการสืบหาเจ้าของซากรถยนต์ก่อน โดยจะทำการติดประกาศ 15 วัน หากไม่พบเจ้าของ กทม. จะเคลื่อนย้ายไปเก็บรักษาไว้ในที่ที่สำนักงานเขตนั้นๆ และหากมีเจ้าของมาติดต่อในอนาคตจะดำเนินการเปรียบเทียบปรับ แต่ถ้าไม่มีเจ้าของมาติดต่อ กทม. จะจัดเก็บซากรถยนต์ไว้ประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการเขตในการขายทอดตลาดซากรถยนต์ต่อไป
โดยรายละเอียด กทม. ได้ร่วมหารือกับทางตำรวจนครบาล ตำรวจจราจร ตลอดจนน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการออกกฎหมาย เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการซากรถดังกล่าว ตั้งแต่การกับการเก็บค่าจอดรถในที่จอดรถ ค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่องมือบังคับไม่ให้เคลื่อนย้ายรถ ค่าเคลื่อนย้ายรถ และค่าดูแลรักษารถในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงการจัดเก็บค่าปรับและส่วนแบ่งสำหรับผู้แจ้งเบาะแส
ทางด้าน นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่าเทศกิจทุกสำนักงานเขตดำเนินการสำรวจปัญหาในพื้นที่ เบื้องต้นพบซากรถจอดทิ้งในพื้นที่สาธารณะประมาณ 400 คัน ประเดิมจัดการพื้นที่เขตสวนหลวง บริเวณซอยพระรามเก้า 53 นำรถยกมาดำเนินการเคลื่อนย้ายยกซากรถสภาพเก่า ผุพัง ที่จอดทิ้งไว้ภายในซอยฯ ออกจากพื้นที่ ซึ่งทางเขตสวนหลวง กำหนดสถานที่จัดเก็บซากรถยนต์บริเวณใต้ทางด่วนศรีรัช โดยสถานที่จัดเก็บซากรถจะแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องที่
การดำเนินการครั้งนี้ นับเป็นความคืบหน้าหลังจากประชาชนร้องเรียนกรณีพบซากรถถูกปล่อยทิ้งตามพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเกิดปัญหากีดขวางการสัญจรของประชาชน กระทบต่อพื้นผิวการจราจร นำสู่ความพยายามแก้ปัญหาเร่งด่วนเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง
สำหรับผู้ที่ต้องการแจ้งเบาะแสการจอดทิ้งซากรถยนต์ในพื้นที่สาธารณะ สามารถแจ้งได้หลายช่องทาง ตั้งแต่สายด่วนเทศกิจ โทร. 0 2465 6644, เว็บไซต์ www.bangkok.go.th/reward, Line : @ebn6703w, E-mail : citylaw_bma@hotmail.com หรือทางไปรษณีย์ถึง สำนักเทศกิจ เลขที่ 1 ถ.เทศบาลสาย 1 แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กทม. 10600 และแจ้งโดยตรงที่ฝ่ายเทศกิจ 50 สำนักงานเขต
ข้อสำคัญเงื่อนไขการรับเงินรางวัลนำจับ ต้องมีการเปรียบเทียบปรับผู้กระทำผิดให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ผู้แจ้งเบาะแสจึงจะได้รับเงินรางวัลนำจับจำนวนครึ่งหนึ่ง หรือ 50 เปอร์เซ็นต์ของเงินค่าปรับนั้นๆ
นอกจากมาตรการจัดการซากรถเก่าพุพังจอดทิ้งเกลื่อนในพื้นที่สาธารณะ ของ กทม. ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว มาตรการทางฟากฝั่งของกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการมอบส่วนลดให้กับผู้นำซากรถยนต์ หรือรถยนต์เก่ามาเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล เรียกว่าเป็นประเด็นน่าจับตาไม่แพ้กัน
เป้าหมายนอกจากเป็นการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศไทย และช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อลดผลกระทบโควิด-19 โดยให้เกิดการซื้อรถยนต์ใหม่ทดแทนซากรถยนต์และรถยนต์เก่า 1 ล้านคัน ภายในปี 2564 ยังเป็นแนทางลดมลภาวะในสิ่งแวดล้อม เพราะรถเก่าอายุการใช้นานนานนับสิบปีปล่อยมลพิษสูง อีกนัยหนึ่งเป็นการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ด้วย
ความคืบหน้าล่าสุด กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมหารือกับค่ายรถยนต์ในการมอบส่วนลดให้กับผู้นำซากรถยนต์หรือรถยนต์เก่ามาเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล เบื้องต้นอาจมอบเป็นคูปองหรือใบการันตีเพื่อให้ผู้บริโภคนำไปซื้อรถยนต์ใหม่
อ้างอิงข้อมูลกรมการขนส่งทางบก ระบุว่าปัจจุบันรถยนต์ที่อายุมากกว่า 10 ปี มีจำนวนกว่า 13.8 ล้านคัน หากนำมากำจัดจะลดฝุ่น PM 2.5 ได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์, รถยนต์อายุมากกว่า 16 ปีจำนวน 7.1 ล้านคัน หากนำมากำจัดจะลด PM 2.5 ได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ และรถยนต์อายุมากกว่า 20 ปี จำนวน 4.3 ล้านคัน หากนำมากำจัดจะลด PM 2.5ได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาภาคเอกชนกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ข้ามผ่านห้วงเวลาเศรษฐกิจซบเซา หนึ่งในข้อเสนอคือขอให้รัฐบาลคลอดนโยบายลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ทุกประเภท 50 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึงสิ้นปี 2563 เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระต้นทุนของผู้ประกอบการและกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค
หากภาครัฐมีความเห็นชอบนโยบายลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ทุกประเภท 50 เปอร์เซ็นต์ จะส่งผลให้ราคาขายรถยนต์ถูกลดลงประมาณ40,000 - 100,000 บาท แต่ดูเหมือนว่าประเด็นนี้จะถูกปัดตกไปเป็นที่เรียบร้อย ที่ประชุมกรมสรรพสามิตมีข้อสรุปร่วมกันว่าจะไม่ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ตามข้อเสนอดังกล่าว
สุดท้ายน่าติดตามว่า ความพยายามผลักดันจัดระเบียบและปรับปรุงภูมิทัศน์การแก้ปัญหาซากรถเก่าที่ถูกจอดทิ้งอยู่ในพื้นที่สาธารณะทั่วกรุงเทพฯ จะนำมาซึ่งความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ จะสามารถเคลียร์ผิวถนนคืนเส้นทางสัญจรได้ทุกพื้นที่หรือเปล่า เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาเรื้อรังมีการร้องเรียนกันมานาน กว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเข้าดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง