โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ถูกจัดว่าเป็นจอมยุทธ์ลื่นไหล ไม่มีใครต้อนให้จนมุมได้ ทั้งๆ ที่เป็นนักโกหกรายวัน กะล่อนปลิ้นปล้อน หน้าทน เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น และตัวเองก็ทำรายการโทรทัศน์ทั้งต้อน ยำ ถากถางคนร่วมรายการ แทบเสียผู้เสียคน
เมื่อมาเป็นประธานาธิบดีชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก ก็ใช้เล่ห์การโกหก ยกตนข่มท่าน เอาตัวรอดมาโดยตลอด และก็รู้ว่าควรให้สัมภาษณ์เฉพาะสื่อที่นิยมชงหวาน เชลียร์ลื่น ไม่ซักมาก เป็นการให้ข้อมูลแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและกัน ตีกินมานาน
โดยเฉพาะสื่อสายอนุรักษนิยม ขวาจัด อย่างเช่น ฟ็อกซ์นิวส์ ของมหาเศรษฐี รูเพิร์ต เมอร์ด็อก ชาวออสเตรเลียและเป็นคนอเมริกัน และฟ็อกซ์จะเป็นกองเชียร์ทรัมป์ และโจมตีสื่อฝ่ายที่ทรัมป์ไม่ชอบ เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพวกซีเอ็นเอ็น นิวยอร์กไทม์ ฯลฯ
ทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์ ทรัมป์มักจะอ้างความสำเร็จในการจัดการการระบาดของโคโรนาไวรัสว่าสำเร็จ ดีกว่าชาติอื่นๆ “ทุกฝ่ายรับมือได้ เราทำได้ดีเยี่ยม เราสุดยอด” หรืออะไรทำนองนั้น ทั้งๆ ที่ค้านกับความเป็นจริงของตัวเลขคนติดเชื้อและเสียชีวิต
ทุกวันนี้คนอเมริกันมียอดติดเชื้อเกือบ 5 ล้านคน และเสียชีวิตเกือบ 1.6 แสนคน แต่ทรัมป์ก็ยังอ้างว่าเป็นความสำเร็จ ดีกว่าชาติอื่นๆ และไม่วายที่จะโทษประเทศจีนซึ่งเป็นต้นตอของการระบาด ทั้งๆ ที่จีนและประเทศอื่นๆ สามารถควบคุมได้
แต่ทรัมป์ไม่พูดถึงความล้มเหลวต่างๆ ในการควบคุม ตัวเลขคนเสียชีวิตอยู่ในระดับ 1 พันคนต่อวัน ติดต่อกันหลายวัน แต่ทรัมป์ก็ยังอ้างว่าจีนเป็นต้นตอของความหายนะ นอกจากเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ แล้ว ยังสร้างวิกฤตให้หลายชาติทั่วโลก
ไม่มองว่าถ้าสหรัฐฯ เก่งจริง ควรควบคุมได้ จัดการได้ ไม่ปล่อยให้ระบาดมากขนาดนี้ จากเพียงการติดเชื้อ 127 รายวันที่ 7 เดือนมีนาคมปีนี้ จนมามากถึงระดับนี้
การโกหก เล่นตัวเลขมั่ว ดิ้นเอาตัวรอดได้ ด้วยเทคนิคการโกหกเรื่องหนึ่ง แล้วโฉบไปโกหกเรื่องใหม่ ทำให้ผู้สื่อข่าวส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้ซัก และเค้นหาหลักฐานจากทรัมป์ ทำให้ผู้นำทำเนียบขาวจอมกะล่อนได้ใจ นึกว่าตัวเองเป็นเลิศในการจัดการสื่อ
แล้วก็มาถึงวาระที่ทรัมป์ต้องจนมุม เมื่อให้สัมภาษณ์นายโจนาธาน สวอน ผู้สื่อข่าวชาวออสเตรเลีย แต่ทำงานให้สำนักข่าวเว็บไซต์ Axios ของสหรัฐฯ เมื่อคืนวันจันทร์ ออกอากาศช่อง HBO ซึ่งเป็นช่องบันเทิงหลากหลายมีทั้งหนังและรายการอื่นๆ
โจนาธาน สวอน ไม่ได้ทำอะไรมาก เพียงแต่ตามไล่จี้ทรัมป์ให้อธิบายตัวเลข และเรื่องอื่นๆ ที่ทรัมป์มักยกเมฆอ้างอย่างมั่วๆ และก่อนที่จะโดนจี้ ก็แว่บไปหาเรื่องอื่น เหมือนกับบางรัฐบาลที่เผชิญเรื่องฉาวโฉ่ ก็พยายามหาเรื่องอื่นๆ มาเบี่ยงเบนหรือกลบ
ช่วงหนึ่งของการอ้าง ทรัมป์บอกว่า “คุณก็รู้นี่ ว่าคนบางกลุ่มพูดว่าเราได้ทดสอบหาจำนวนคนติดเชื้อระบาด อย่างที่ว่ากันนั่นแหละ”
โจนาธาน สวอนจี้ติด “ใครที่ว่าอย่างนั้น ใครที่ไหน”
ทรัมป์ “ก็อย่างที่อ่านดูในคู่มือ หนังสือต่างๆ นั่นแหละ”
โจนาธาน สวอน “คู่มือหรือ คู่มืออะไรที่ว่า”
ทรัมป์ “อ่านหนังสือดูซิ อ่านหนังสือ”
โจนาธาน สวอน “หนังสืออะไร หนังสืออะไร”
ทรัมป์ไม่ยอมตอบคำถาม หลังจากโดนไล่จี้ให้ทรัมป์อธิบาย หรือหาหลักฐานมาประกอบคำอ้าง ฉากหลบออกไปพูดเรื่องอื่น ทำให้โจนาธาน สวอน ไม่มีโอกาสได้ไล่บี้ต่อ
แล้วก็มาถึงรอบใหม่ที่ทรัมป์โดนไล่ต้อนเพราะจะตีกินด้วยความมั่วข้อมูล ทรัมป์อ้างว่าตัวเองเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จมากในการควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัส หลังจากการระบาดต่อเนื่องกว่า 6 เดือน
ทรัมป์ “ตอนนี้นะ ผมคิดว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จะบอกให้นะ...”
โจนาธาน สวอน “ควบคุมได้ หลังจากยอดคนเสียชีวิต 1 คนต่อวันเนี่ยนะ”
ทรัมป์ “คนก็ตายกันเยอะ ก็เป็นอย่างที่เป็นนั่นแหละ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ทำอย่างที่เราสามารถทำได้ เราก็ควบคุมได้เท่ากับที่เราสามารถทำได้นั่นแหละ”
โจนาธาน สวอน “ควบคุมอย่างไรไม่ทราบ”
คราวนี้ทรัมป์ไม่ตอบ ดูเหมือนจะจนมุม ก็เฉไฉไปพูดเรื่องอื่นๆ และในช่วงการสัมภาษณ์นาน 35 นาทีครั้งนั้น มีคนพยายามจับได้ว่าทรัมป์ได้ปล่อยข้อมูลคลาดเคลื่อน ไม่เป็นจริงมากถึง 17 ประเด็นด้วยกัน ถือว่าเป็นการมั่วด้านข้อมูลแบบกระจุกตัวอีกครั้ง
ถือว่าครั้งนี้ทรัมป์ไม่ทำการบ้าน ไม่เตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ เพราะอาศัยลีลาการตัดบท เปลี่ยนเรื่อง และยกข้อมูลมั่ว จนผู้สัมภาษณ์ไม่ซักได้ทัน หรือเป็นเพราะความเกรงใจในตำแหน่งผู้นำชาติมหาอำนาจ อาจไม่มีโอกาสได้สัมภาษณ์ครั้งต่อไป
บทเรียนครั้งนี้ ทำให้ผู้เตรียมการรณรงค์หาเสียงต้องตื่นตัว เพราะทรัมป์จะต้องถกกันตัวต่อตัวกับโจ ไบเดน คนท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ซึ่งมีคะแนนนำทรัมป์กว่า 10 จุด และถ้าทรัมป์ยังไม่ทำการบ้าน และใช้ลีลาโกหกอย่างนี้ มีโอกาสตกม้าตายกลางเวที
ล่าสุด ทรัมป์ปล่อยไก่ พลาดอีกครั้ง เมื่อตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องการระเบิดครั้งใหญ่ที่ท่าเรือกรุงเบรุต เมืองหลวงเลบานอน มีคนเสียชีวิตกว่า 78 ราย บาดเจ็บกว่า 4 พัน เสียหายมหาศาล แรงระเบิดเทียบได้กับระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมา นางาซากิโน่น
ทรัมป์อ้างว่า “เป็นการโจมตี” แต่ไม่บอกว่าเป็นฝ่ายใด เพราะเลบานอนมีหลายกลุ่มเช่นฮิซบอลเลาะห์ ฮามาส และปาเลสไตน์ มีปัญหากับอิสราเอล แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสหรัฐฯ แย้งว่าไม่ใช่การโจมตีจากกลุ่มใด ฝ่ายเลบานอนกำลังสอบสวนอยู่
ข้อมูลเบื้องต้นชี้ว่าน่าจะเป็นแอมโมเนียมไนเตรทและมีระเบิดอยู่ในโกดังท่าเรือ