ศาลฎีกาฯ สั่งคุก “ทักษิณ ชินวัตร” 5 ปี คดีแปลงค่าสัมปทานเอื้อประโยชน์เครือชินคอร์ป พร้อมออกหมายจับ รวมคดีเก่าโดนคุกแล้ว 10 ปี
วานนี้ (30 ก.ค.) ศาลฎีาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาคดีดำหมายเลขที่ อม. 9/2551 คดีแดงที่ อม. 5/2551 อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม กรณีการแปลงสัญญาสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต ด้วยการตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (พ.ศ. 2527) พ.ศ. 2546 เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท หรือคดีแปลงค่าสัมปทานเอื้อชินคอร์ป
ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 วรรคหนึ่ง (2) และมาตรา 122 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
โดยองค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุก 3 ปี รวมเป็นจำคุก 5 ปี ให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 และต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 10/2552 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
อนึ่ง ในวันนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกหมายจับจำเลยมาเพื่อบังคับตามคำพิพากษาแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุกนายทักษิณ คดีเอ็กซิมแบงก์เป็นเวลา 3 ปี และคดีหวยบนดินเป็นเวลา 2 ปี และล่าสุด คดีแปลงค่าสัมปทานเอื้อชินคอร์ปนี้ พิพากษาจำคุก 5 ปี รวมเป็น นายทักษิณ ถูกจำคุก 10 ปี โดยไม่รอลงอาญา
วานนี้ (30 ก.ค.) ศาลฎีาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำพิพากษาคดีดำหมายเลขที่ อม. 9/2551 คดีแดงที่ อม. 5/2551 อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม กรณีการแปลงสัญญาสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต ด้วยการตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (พ.ศ. 2527) พ.ศ. 2546 เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท หรือคดีแปลงค่าสัมปทานเอื้อชินคอร์ป
ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 วรรคหนึ่ง (2) และมาตรา 122 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
โดยองค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุก 3 ปี รวมเป็นจำคุก 5 ปี ให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 และต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 10/2552 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
อนึ่ง ในวันนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกหมายจับจำเลยมาเพื่อบังคับตามคำพิพากษาแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุกนายทักษิณ คดีเอ็กซิมแบงก์เป็นเวลา 3 ปี และคดีหวยบนดินเป็นเวลา 2 ปี และล่าสุด คดีแปลงค่าสัมปทานเอื้อชินคอร์ปนี้ พิพากษาจำคุก 5 ปี รวมเป็น นายทักษิณ ถูกจำคุก 10 ปี โดยไม่รอลงอาญา