นับตั้งแต่คดีสังหาร “ดาบยิ้ม” หรือด.ต.สุวิชัย รอดวิมุต เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ปี2544 โดยนายดวง อยู่บำรุง ลูกชายร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ เพิ่งจะมีคดีนายบอสหรือ “วรยุทธ อยู่วิทยา” ทายาทเครื่องดื่มกระทิงแดงนี่แหละที่ปลุกให้คนทั้งประเทศ ลุกฮือขึ้นมาโจมตีกระบวนการยุติธรรมอย่างรุนแรง
ไม่มีใครคิดว่า คดีทายาทกระทิงแดง จะปิดฉากด้วยความอัปยศ โดยอัยการลงความเห็นสั่งไม่ฟ้อง และตำรวจเห็นพ้องกับอัยการ
นับจากวันที่นายบอสขับรถชนด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อเสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 ประชาชนเฝ้าจับตาคดีนี้มาตลอด เพราะเชื่อกันว่า คดีจะเป็นมวยล้มต้มคนดู โดยเงินจะซื้อได้ทุกอย่าง
ขั้นตอนการดำเนินคดี ส่อเจตนาไม่ตรงไปตรงมาตลอด โดยความผิดหลายข้อหา ถูกปล่อยให้หมดอายุความ และนายตำรวจที่รับผิดชอบซึ่งปล่อยให้คดีหมดอายุความ ถูกลงโทษเพียงสถานเบาเท่านั้น
ขณะที่นายบอสถูกปล่อยให้หลบหนีออกนอกประเทศ
แม้เป็นคดีใหญ่ที่อยู่ในความสนใจของคนทั้งประเทศ แม้สื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศจะเกาะติดความเคลื่อนไหวในขั้นตอนการดำเนินคดี และแม้จะวิพากษ์วิจารณ์กันล่วงหน้าแล้วว่า
ลูกเศรษฐีที่กระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นความผิดร้ายแรงขนาดไหน จะไม่ต้องรับโทษ
สุดท้ายทายาทกระทิงแดงก็รอดจริงๆ
และคุกตารางมีไว้ขังคนจนจริงๆ
ตำรวจและอัยการถูกโจมตีมานานในเรื่อง “ค้าคดี” เปลี่ยนผิดให้เป็นถูก ทำถูกให้เป็นผิด จนกลายเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมเสื่อม และทำให้กฎหมายถูกบังคับใช้เฉพาะคนจนเท่านั้น แต่เลือกปฏิบัติสำหรับบรรดาอภิสิทธิชน
เสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอัยการ ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง เพราะการสมคบคิดกันตัดตอนคดีทายาทกระทิงแดง เป็นพฤติกรรมที่ทำให้ประชาชนทั้งประเทศเหลืออด
และพร้อมจะลุกฮือขึ้นมาประท้วง ประณาม กดดันให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความกล้าหาญสักครั้ง โดยผ่าตัดใหญ่ตำรวจ และอัยการ
คดีความต่างๆ กลายเป็นธุรกิจที่ค้าขายกัน โดยเศรษฐีหรือคนมีอำนาจบารมี สามารถซื้อกระบวนการยุติธรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นคดีร้ายแรงเพียงใด จะฆ่าคนตายหรือขับรถชนคนตาย ถ้ามีเส้นสาย มีเงิน มีอำนาจบารมี สามารถล้มคดีได้หมด
ระบบอภิสิทธิชนยังดำรงอยู่ กระบวนการยุติธรรมยังซื้อได้ กฎหมายยังถูกเลือกปฏิบัติ เพราะบังคับใช้อย่างเคร่งครัดเฉพาะคนจนเท่านั้น แต่ไม่อาจลงโทษทายาทเศรษฐีหรือลูกนักการเมืองได้
แม้สังคมจะตื่นตัวในคดีทายาทกระทิงแดง โดยมีความเคลื่อนไหวรณรงค์ให้ต่อต้านสินค้าเครือข่ายเครื่องดื่มกระทิงแดงและ RED BULL ของตระกูลอยู่วิทยา แต่ก็เป็นเพียงมาตรการลงโทษทางสังคมเท่านั้น แต่ไม่ช่วยให้กระบวนการยุติธรรมมีความบริสุทธิ์ซื่อตรงได้
การตัดตอนคดีทายาทกระทิงแดง เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าม็อบเยาวชนชุมนุมขับไล่รัฐบาลเสียอีก เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อทุกคน เป็นเรื่องที่สร้างความรันทดให้คนทั้งประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่หรือไป ไม่มีความสำคัญเท่ากับกระบวนการยุติธรรมจะได้รับการปฏิรูปหรือไม่ พฤติกรรมความเน่าเฟะของตำรวจและอัยการจะได้รับการแก้ไขหรือเปล่า
คดีทายาทกระทิงแดงไม่มีอะไรที่ซับซ้อน ไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ไม่ใช่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างฝ่ายต่อต้านหรือฝ่ายเชลียร์พล.อ.ประยุทธ์ แต่เป็นเรื่องของความผิดและถูกของกระบวนการยุติธรรม โดยมีตำรวจและอัยการเป็นตัวการสำคัญที่สร้างความเสื่อมเสีย
กฎหมายถูกนำไปเป็นเครื่องมือทำมาหากินของข้าราชการที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์มานาน จนข้าราชการระดับสูงในหลายหน่วยงาน มีฐานะมั่งคั่งระดับเจ้าสัวทีเดียว และความร่ำรวยที่ไม่ปกติของข้าราชการตำรวจและอัยการ ก็ไม่เคยมีรัฐบาลชุดใดใส่ใจตรวจสอบเงินสกปรกที่ได้มา
ในต่างประเทศ เริ่มมีความเคลื่อนไหวต่อต้านสินค้ากลุ่มกระทิงแดงแล้ว เพราะยอมรับไม่ได้กับระบบอภิสิทธิชนที่อยู่เหนือกฎหมาย ขณะที่ประชาชนในประเทศเริ่มทนไม่ไหวกับกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เท่าเทียม ระหว่างคนจนกับคนรวย และพร้อมจะลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องให้ผ่าตัดใหญ่ตำรวจและอัยการ
พล.อ.ประยุทธ์ยังจะก้มหน้าก้มตาพร่ำถึงการปรองดอง เพ้อถึงการร่วมมือสร้างสังคมที่สงบสุขอีกหรือ ในเมื่อสังคมกำลังลุกเป็นไฟ
เพราะประชาชนจะไม่ทนต่อไปกับกระบวนการยุติธรรมที่เหลื่อมล้ำ ระหว่างอภิสิทธิชนคนรวยกับคนจนผู้ด้อยโอกาสอีกแล้ว
ไม่ทนต่อความเน่าเฟะของตำรวจและอัยการ โดยเฉพาะการตัดตอนคดีทายาทกระทิงแดงอย่างไม่รู้สึกระอายต่อความรู้สึกของประชาชน
ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ไม่แสดงความกล้าหาญ เด็ดขาด จัดการกับตำรวจและอัยการที่ร่วมกันล้างมลทินให้ทายาทกระทิงแดง
ม็อบเยาวชนไล่รัฐบาล อาจเป็นศูนย์กลางการลุกฮือของประชาชนที่เดือดดาลความบัดซบในคดีทายาทกระทิงแดงก็ได้