ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยุติธรรมไม่เลือกข้างจริงแน่หรือ? แล้วก็มาถึงคิวที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเป็นเอกฉันท์ชี้มูลความผิด “เจ๊ปู” นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมกับนายนวัตน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการนายกฯ ที่ฮั้วประมูลงานจัดอีเว้นท์โปรโมทโครงการสร้างอนาคตไทย Thailand 2020 โดยมิชอบ ตามพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ทั้งที่กฎหมายยังไม่ผ่าน ผลาญเงินหลวงไป 240 ล้าน
งานนี้ สื่อค่ายมติชนกับสยามสปอร์ต เจอข้อหามีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนพ่วงเข้าไปด้วย
คดีนี้ ผู้ที่ถูกกล่าวหามีทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และเอกชน รวม17 ราย โดยนักการเมืองมี 3 ราย ส่วนกลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ 9 ราย เป็นผู้จัดทำราคากลางและจัดซื้อจัดจ้าง และกลุ่มเอกชนอีก 5 ราย
หลังจาก ป.ป.ช.มีมติ ปฏิกิริยาตอบโต้จาก “เจ๊ปู” เป็นไปตามคาด ก็เหตุไฉนตอนทำ “เจ๊ปู” ไม่ได้คิด ตอนถูกชี้มูลความผิดก็มาโอดโอย อยู่ดีๆ อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเดือนเดียวเจอไปสองคดี แถมตัดพ้อต่อว่าอะไรๆ ก็มารุมถล่มอยู่แต่ฝ่ายตนเอง อีกฝ่ายไม่เห็นจะกระไร
อย่างที่รู้เกมการเมืองต่างขั้วก็สาดกันไป แต่ว่าระยะหลังนี้ ป.ป.ช.ก็พยายามออกหมัดซัดดะเพราะว่าเจอแรงกระหน่ำจากสังคมที่วิพากษ์วิจารณ์ช่างอืดเสียจริงในหลายๆ คดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
อย่างในคดีของนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กรณีทุจริตการก่อสร้างสนามฟุตซอล ตั้งแต่ปีมะโว้ ล่าสุดก็เพิ่งสรุปสำนวนคดีและส่งให้อัยการสูงสุด ยื่นฟ้องศาลเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี่เอง
ส่วนคดีรุกป่า ขาดจริยธรรม และตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน ของ “เอ๋ – นางสาวปารีณา ไกรคุปต์” ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ป.ป.ช. ก็คงต้องขอให้รอกันอีกนานๆ เพราะว่าหลักฐานมันเยอะแยะไปหมดตามที่โฆษกคณะกรรมการป.ป.ช.ให้เหตุผลเอาไว้อย่างนั้น
ย้อนมาดูคดีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ เจอฟันล่าสุด นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ระบุว่า จากการพิจารณาสำนวนไต่สวนแล้วการกระทำของนางสาวยิ่งลักษณ์ นายนิวัฒน์ธำรง นายสุรนันท์ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 192 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 และ 13
และการกระทำของบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และนายฐากูร บุนปาน บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และนายระวิ โหลทอง มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน โดยให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
สำหรับโครงการโรดโชว์ สร้างอนาคตไทย Thailand 2020 เป็นแผนจัดโรดโชว์ ใน 12 จังหวัด จังหวัดละ 20 ล้านบาท รวม 240 ล้านบาท จะเป็นการจัดนิทรรศการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ถึงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางราง ระบบรถไฟฟ้าทางคู่เชื่อมชานเมืองและหัวเมือง ศึกษาและพัฒนารถไฟความเร็วสูง หรือ ร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท โดยมีบริษัท มติชน เป็นแม่งานหลักในการคิดรูปแบบการจัดงาน ทั้งที่ยังไม่มีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ และเมื่อตรวจสอบงบประมาณปี 2556 ก็ไม่ได้ระบุแผนงานโครงการดังกล่าวไว้ ประกอบกับงบประมาณปี 2557 ประกาศใช้ไม่ทัน 1 ตุลาคม 2556
แต่นางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ได้อนุมัติงบกลาง เงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น วงเงิน 40 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการ และเห็นชอบให้จัดโครงการใน 2 จังหวัดก่อน คือ หนองคายและนครราชสีมา ทั้งที่ขณะนั้นหลายฝ่ายทักท้วงว่าร่างพระราชบัญญัติสองล้านล้านบาท อาจขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และเตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย อีกทั้งงานดังกล่าวยังซ้ำซ้อนกับงานที่กระทรวงคมนาคม จัดไปก่อนแล้ว และถึงยังไม่จัดก็ไม่ได้มีความเสียหายแต่อย่างใด
ป.ป.ช. ยังชี้ว่า ในการจัดซื้อจัดจ้างมีการดำเนินการไปก่อนทั้งที่สำนักงบประมาณยังไม่ได้แจ้งใบงวด และพบว่าการลงนามในหนังสือสั่งจ้างได้กระทำไปก่อนที่ได้รับเงินประจำงวดจากสำนักงบประมาณ ทั้งที่ส่วนราชการทราบดีว่าการลงนามในหนังสือสั่งจ้างจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อสำนักงบประมาณ ได้แจ้งจัดสรรเงินงบประมาณมาให้แล้วเท่านั้น
ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และตราขึ้นโดยมิใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน มีผลให้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นอันตกไป ส่งผลให้โครงการต่างๆ ตามที่ได้ออกไปโรดโชว์ไม่ได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด การใช้งบประมาณ ในโครงการดังกล่าว จำนวน 240 ล้านบาท จึงเกิดความสูญเปล่า เป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย
นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการ “ทุจริตเชิงนโยบาย” ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” ที่ลูกน้องต้องเผชิญวิบากกรรมแทนนายเพราะ “เจ๊ปู” เธอเผ่นหนีไปอยู่สุขสบายในต่างประเทศแล้ว
แต่เธอก็ถนัดเล่นตามบทคร่ำครวญข้ามประเทศ โดยโพสข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว Yingluck Shinawatra ตีโพยตีพายเรียกร้องความเห็นใจว่า การชี้มูลของป.ป.ช.ทำให้เกิดข้อสงสัยและตั้งข้อสังเกตว่าป.ป.ช.ขยันเร่งรัดคดีของเธอแต่ฝ่ายเดียวเหลือเกิน โดยเดือนกรกฎาคมนี้เดือนเดียวเจอไปสองคดี ตอนต้นเดือนก็ชี้มูลเรื่องการใช้อำนาจโอนนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบ ถัดมาก็คดีโรดโชว์ ทั้งที่ทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ ในต่างประเทศอย่างปุถุชนคนทั่วไป
“.... ดิฉันไม่อยากให้ความยุติธรรมต้องเลือกข้าง ความยุติธรรมต้องไม่เหลื่อมล้ำ ถ้าเป็นนักการเมืองหรืออดีตนักการเมืองฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ผิดเสมอ แต่อีกฝ่ายทำอะไรไม่ผิดเลย ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรมเสียแล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่งความศรัทธา ความเชื่อมั่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจหมดสิ้นไป" นางสาวยิ่งลักษณ์ โอดครวญ
อย่างไรก็ตาม การทำงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ถูกตั้งคำถามเรื่อยมาโดยเฉพาะการตรวจสอบทุจริตของฟากนักการเมืองจากพรรครัฐบาล จนพักหลังมีไฟต์บังคับให้มีการออกหมัดออกมวยชกเข้าเป้า อย่างการตรวจสอบทุจริตการก่อสร้างสนามฟุตซอลที่นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ถูกกล่าวหา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด (อสส.) สั่งฟ้องไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตอนนี้ก็รอว่า อสส.จะว่าอย่างไร หาก อสส. มีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีนี้ ป.ป.ช.ก็สามารถยื่นฟ้องเองได้ โดยมีกรอบเวลา 90 วันในการพิจารณาส่งฟ้องคดี
คดีทุจริตสร้างสนามฟุตซอลของเขตพื้นที่การศึกษาเขต 4 โคราชนั้น มีนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และประธานวิปรัฐบาล พร้อมด้วย “เมียและน้องเมีย” 3 ส.ส. พปชร. ร่วมกับข้าราชการ และกลุ่มเอกชน รวมกว่า 24 ราย ติดร่างแห โดยเรื่องยื้อๆ กันมานับตั้งแต่เรื่องปูดขึ้นมาปี 2555 จนวันที่ 6 สิงหาคม 2562 จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ชี้มูลความผิด นายวิรัช กับพวก โดย ป.ป.ช. ส่งสำนวนแรกที่มีมติเอกฉันท์นี้ให้อัยการสูงสุด เพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกานักการเมือง และต่อมา 18 ธันวาคม 2562 ป.ป.ช.ได้ ชี้มูลความผิดเพิ่มแล้วส่ง อสส. อีก 6 สำนวน หลังจากทอดเวลามานานมากแล้ว
ชัดเจนว่า ป.ป.ช.เห็นว่า กรณีคนที่มีเอี่ยว “สนามฟุตซอลฉาว” รวม 7 สำนวน นั้น มีนายวิรัช เป็นผู้ถูกกล่าวหารวมครบทั้ง 7 สำนวน โดย ป.ป.ช.ใช้เวลาพิจารณานานถึง 8 ปี จนมีมติชี้มูลความผิดนายวิรัช และส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณายื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีการครอบครองที่ดิน ภบท.5 ของนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ นั้น อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเพราะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ที่มีระยะเวลายาวนานกว่า 20 ปี
สำหรับกรณีการตรวจสอบจริยธรรมของ “เอ๋-ปารีณา” นั้น ป.ป.ช. ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนรายละเอียดแล้ว กระบวนการจากนี้ก็ต้องเชิญนางสาวปารีณา มาให้ถ้อยคำกับป.ป.ช. เช่นเดียวกับกรณีการตรวจสอบการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ยังอยู่การแสวงหาข้อเท็จจริง
“ทั้งหมดทุกสำนวนทาง ป.ป.ช.ดำเนินการตามขั้นตอน ไม่มีการดึงเรื่องและเร่งรัดโดยตลอดเนื่องจากเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของสาธารณะ” โฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยืนยันกลบเสียงครหาว่าเล่นเกมยื้อคดีหรือไม่
ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวถึงการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของ น.ส.ปารีณาว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สาธารณชนสนใจ ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 ซึ่งเหลือเวลาอีกสองเดือนกว่าๆ ป.ป.ช.ต้องมีคำตอบให้สังคม
อดใจรอ แล้วจะได้เห็นกระบวนการยุติธรรมไม่เลือกข้าง! และไม่ได้ยื้อคดีแต่อย่างใด?