ผู้จัดการรายวัน360-ตำรวจตามจับได้แล้ว 11 โจ๋เมืองปากน้ำ ยกพวกตีกันในโรงพยาบาล หลังเพื่อนถูกแทงตาย พาลรุมชกต่อยหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ อ่วมเจอ 3 ข้อหา ร่วมกันทำร้ายร่างกาย ทำให้เสียทรัพย์ ชุลมุนต่อสู้จนเป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิต “โฆษก ตร.” ลั่นดำเนินคดีถึงที่สุดทุกราย อัยการชี้โรงพยาบาลต้องเป็นสถานที่ปลอดภัย ยันต้องฟ้องลงโทษสถานหนัก เอาผิดวัยรุ่นกร่าง เหตุมีพฤติกรรมท้าทาย ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ระบุคดีก่อนหน้า ก็ไม่มีรอลงอาญา
พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ รอง ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.สุภธีร์ บุญครอง ผบก.สส.ภ.1 , พ.ต.อ.วิทิต จันทร์เอี่ยม ผกก.สส.3 ภ.1 และ พ.ต.อ.ภาณุภาคย์ จิตต์ประยูรตี ผกก.สส.ภ.จ.สมุทรปราการ ลงพื้นที่ตามจับผู้ก่อเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันในโรงพยาบาลและทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่และแพทย์ พยาบาล โดยล่าสุดจับกุมได้แล้ว 11 ราย พบว่า 3 ใน 11 ราย เป็นผู้ก่อเหตุทำร้ายร่างกายหมอและพยาบาลภายในห้องฉุกเฉินทั้ง 2 โรงพยาบาล ประกอบด้วย นายภาณุวัฒน์ สุขแย้ม หรือกั๊ก ผู้ต้องหาที่ชกต่อยแพทย์หญิงและบุรุษพยาบาล นายนิพล วันชม หรือมิน ก่อเหตุชกต่อยแพทย์หญิง นายกานต์ แสงชัย หรือออม ก่อเหตุชกต่อยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลวิภารามชัยปราการ
ทั้งนี้ จากการสอบสวน ทราบว่า นายเกียรติวุฒิ ชาญประเสริฐ ผู้เสียหายที่ถูกนายกั๊ก พาพวกมารุมทำร้ายภายในโรงพยาบาล ว่า ตนไม่เคยรู้จักกับฝ่ายผู้ก่อเหตุ ที่ตนมาโรงพยาบาลเพียงได้ข่าวว่าเพื่อนถูกทำร้ายจึงแวะมาเยี่ยม ก่อนเกิดเหตุตนออกมายืนหน้าโรงพยาบาล พบกับกลุ่มคู่อริเดินเข้ามาหาเรื่องตน โดยถามว่ามาหาคนที่ถูกแทงใช่ไหม หลังจากนั้น ก็ลงมือรุมทำร้ายจนเป็นเหตุบานปลาย
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาผู้ก่อเหตุทั้ง 11 ราย ในข้อหา “ร่วมกันบุกรุกสถานพยาบาลในยามวิกาล, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ , ร่วมกันชุลมุนต่อสู้ เป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ” และได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กล่าวว่า ขอฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนว่า การใช้อารมณ์ในการแก้ไขปัญหา อาจนำมาซึ่งความสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน และนำไปสู่การละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมือง นอกจากจะส่งผลเสียต่อตนเองและผู้อื่นแล้ว ยังจะถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาด และถึงที่สุด ซึ่งทำให้ทั้งเสียเวลาและมีประวัติตามมา
ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กำชับไปยังทุกกองบัญชาการ และได้เน้นย้ำมาโดยตลอด ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกพื้นที่ เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันเหตุด่วนเหตุร้าย อาชญากรรมในทุกมิติ พร้อมประสานการปฏิบัติกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการหาความร่วมมือในการป้องกันเหตุ
นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทรยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า โรงพยาบาลต้องเป็นสถานที่กู้ชีพฉุกเฉิน ช่วยเหลือผู้ป่วย และปลอดภัยสำหรับทุกฝ่าย พฤติกรรมใหญ่โต ทำทรัพย์สินของราชการเสียหาย ตีทำร้ายในโรงพยาบาล เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจที่สุด ที่ผู้ปกครอง พ่อแม่ของวัยรุ่นทั้งหลายควรกำชับและดูแลลูก ถ้าคุณไม่อยากเดือดร้อนเพราะลูกที่เกเรของคุณเอง โรงพยาบาลมีกล้องวงจรปิด จากนี้ไป กล้องและพยานบุคคลต่างๆ จะเป็นหลักฐานเอาผิดกับวัยรุ่นที่กร่างให้ถึงที่สุด จะได้ไปอยู่ที่เรือนจำเหมือนวัยรุ่นที่ก่อเหตุที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ อัยการจะพิจารณาบรรยายฟ้องถึงพฤติกรรมที่ท้าทายกฎหมายใหญ่โต ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก หรือฟ้องขอให้เพิ่มโทษ หากมีประวัติเก่ามาแล้ว
“นอกจากคดีอาญาแล้ว ยังจะโดนฟ้องคดีแพ่ง เรียกสินไหมทดแทนได้อีก ขอร้องให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ดูแลบุตรหลานของท่านให้เป็นคนดี อย่าเกเร จะได้ไม่ต้องทุกข์ เพราะลูกหลานติดคุก จะเสียประวัติ เสียโอกาสในการทำงาน วันนี้คนประวัติดียังหางานทำยาก เสียประวัติแล้ว โอกาสในสังคมแทบไม่มีเหลือต่อไป ดูแลลูกหลานให้เป็นคนดีกัน” นายโกศลวัฒน์กล่าว
ที่ผ่านมา ศาลมีคำพิพากษาอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด โดยเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2562 ศาลจังหวัดอ่างทองจำคุกวัยรุ่น 9 คน ที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในสถานบันเทิงจนบาดเจ็บ มีผู้นำส่ง รพ.อ่างทอง แต่คู่กรณียังตามมาทำร้ายกันในห้องฉุกเฉิน รพ.อ่างทอง จนอุปกรณ์ทางการแพทย์เสียหาย ศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน รับสารภาพเหลือ 3 เดือนพฤติการณ์ร้ายแรงไม่ยำเกรงกฎหมาย ศาลจึงไม่รอลงอาญา
พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ รอง ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.สุภธีร์ บุญครอง ผบก.สส.ภ.1 , พ.ต.อ.วิทิต จันทร์เอี่ยม ผกก.สส.3 ภ.1 และ พ.ต.อ.ภาณุภาคย์ จิตต์ประยูรตี ผกก.สส.ภ.จ.สมุทรปราการ ลงพื้นที่ตามจับผู้ก่อเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันในโรงพยาบาลและทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่และแพทย์ พยาบาล โดยล่าสุดจับกุมได้แล้ว 11 ราย พบว่า 3 ใน 11 ราย เป็นผู้ก่อเหตุทำร้ายร่างกายหมอและพยาบาลภายในห้องฉุกเฉินทั้ง 2 โรงพยาบาล ประกอบด้วย นายภาณุวัฒน์ สุขแย้ม หรือกั๊ก ผู้ต้องหาที่ชกต่อยแพทย์หญิงและบุรุษพยาบาล นายนิพล วันชม หรือมิน ก่อเหตุชกต่อยแพทย์หญิง นายกานต์ แสงชัย หรือออม ก่อเหตุชกต่อยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลวิภารามชัยปราการ
ทั้งนี้ จากการสอบสวน ทราบว่า นายเกียรติวุฒิ ชาญประเสริฐ ผู้เสียหายที่ถูกนายกั๊ก พาพวกมารุมทำร้ายภายในโรงพยาบาล ว่า ตนไม่เคยรู้จักกับฝ่ายผู้ก่อเหตุ ที่ตนมาโรงพยาบาลเพียงได้ข่าวว่าเพื่อนถูกทำร้ายจึงแวะมาเยี่ยม ก่อนเกิดเหตุตนออกมายืนหน้าโรงพยาบาล พบกับกลุ่มคู่อริเดินเข้ามาหาเรื่องตน โดยถามว่ามาหาคนที่ถูกแทงใช่ไหม หลังจากนั้น ก็ลงมือรุมทำร้ายจนเป็นเหตุบานปลาย
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาผู้ก่อเหตุทั้ง 11 ราย ในข้อหา “ร่วมกันบุกรุกสถานพยาบาลในยามวิกาล, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ , ร่วมกันชุลมุนต่อสู้ เป็นเหตุให้มีผู้ถึงแก่ความตายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ” และได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กล่าวว่า ขอฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนว่า การใช้อารมณ์ในการแก้ไขปัญหา อาจนำมาซึ่งความสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน และนำไปสู่การละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมือง นอกจากจะส่งผลเสียต่อตนเองและผู้อื่นแล้ว ยังจะถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาด และถึงที่สุด ซึ่งทำให้ทั้งเสียเวลาและมีประวัติตามมา
ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กำชับไปยังทุกกองบัญชาการ และได้เน้นย้ำมาโดยตลอด ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกพื้นที่ เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันเหตุด่วนเหตุร้าย อาชญากรรมในทุกมิติ พร้อมประสานการปฏิบัติกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการหาความร่วมมือในการป้องกันเหตุ
นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทรยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า โรงพยาบาลต้องเป็นสถานที่กู้ชีพฉุกเฉิน ช่วยเหลือผู้ป่วย และปลอดภัยสำหรับทุกฝ่าย พฤติกรรมใหญ่โต ทำทรัพย์สินของราชการเสียหาย ตีทำร้ายในโรงพยาบาล เป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจที่สุด ที่ผู้ปกครอง พ่อแม่ของวัยรุ่นทั้งหลายควรกำชับและดูแลลูก ถ้าคุณไม่อยากเดือดร้อนเพราะลูกที่เกเรของคุณเอง โรงพยาบาลมีกล้องวงจรปิด จากนี้ไป กล้องและพยานบุคคลต่างๆ จะเป็นหลักฐานเอาผิดกับวัยรุ่นที่กร่างให้ถึงที่สุด จะได้ไปอยู่ที่เรือนจำเหมือนวัยรุ่นที่ก่อเหตุที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ อัยการจะพิจารณาบรรยายฟ้องถึงพฤติกรรมที่ท้าทายกฎหมายใหญ่โต ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก หรือฟ้องขอให้เพิ่มโทษ หากมีประวัติเก่ามาแล้ว
“นอกจากคดีอาญาแล้ว ยังจะโดนฟ้องคดีแพ่ง เรียกสินไหมทดแทนได้อีก ขอร้องให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ดูแลบุตรหลานของท่านให้เป็นคนดี อย่าเกเร จะได้ไม่ต้องทุกข์ เพราะลูกหลานติดคุก จะเสียประวัติ เสียโอกาสในการทำงาน วันนี้คนประวัติดียังหางานทำยาก เสียประวัติแล้ว โอกาสในสังคมแทบไม่มีเหลือต่อไป ดูแลลูกหลานให้เป็นคนดีกัน” นายโกศลวัฒน์กล่าว
ที่ผ่านมา ศาลมีคำพิพากษาอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด โดยเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2562 ศาลจังหวัดอ่างทองจำคุกวัยรุ่น 9 คน ที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในสถานบันเทิงจนบาดเจ็บ มีผู้นำส่ง รพ.อ่างทอง แต่คู่กรณียังตามมาทำร้ายกันในห้องฉุกเฉิน รพ.อ่างทอง จนอุปกรณ์ทางการแพทย์เสียหาย ศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน รับสารภาพเหลือ 3 เดือนพฤติการณ์ร้ายแรงไม่ยำเกรงกฎหมาย ศาลจึงไม่รอลงอาญา