ผู้จัดการรายวัน360-"เดซติเนชั่น แคปปิตอล" เปิดตัวธุรกิจร่วมลงทุนซื้อกิจการโรงแรม ปั้นพอร์ตบริหารโรงแรมสี่ดาวสร้างมูลค่าเพิ่ม ตั้งเป้าลงทุน 12-15 แห่งในอีก 18 เดือนข้างหน้า มูลค่าเงินลงทุนแต่ละโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท เน้นกลยุทธ์บริหารสินทรัพย์โรงแรมห้าข้อ อัดฉีดเงินทุน ปรับ positioning รีแบรนด์ จ้างงานบุคลากรสาขาท่องเที่ยว
นายเจมส์ แคพแลน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดซติเนชั่น แคปปิตอล บริษัทเพื่อการลงทุนและบริหารธุรกิจโรงแรม กล่าวว่า ได้ร่วมกับพันธมิตรเข้าลงทุนในโรงแรมและรีสอร์ทในเอเชีย แปซิฟิค โดยเน้นเข้าซื้อโรงแรมในไทยเป็นหลัก และเน้นคัดโครงการที่มีศักยภาพ รีโนเวท ปรับปรุงการบริหารและการตลาดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงรีแบรนด์ให้ขึ้นเป็นโรงแรมระดับโลก เพื่อช่วยฟื้นฟูการทำรายได้
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างมองหาสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการพัฒนา สร้างผลตอบแทนได้สูง หลังจากปรับปรุงและปรับตำแหน่งทางการตลาดให้เหมาะสมตามกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทแล้ว โดยสินทรัพย์เป้าหมาย ได้แก่ โรงแรมและรีสอร์ทขนาดประมาณ 200 ห้อง ในทำเลชั้นดีในหัวเมืองใหญ่และจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะทยอยซื้อโรงแรมสี่ดาวเข้าพอร์ตให้ได้รวมทั้งสิ้น 12-15 แห่ง ภายในอีก 18 เดือนข้างหน้า
“เราจะดึงกองทุนร่วมทุนและกิจการร่วมลงทุนต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ให้เข้ามาร่วมลงทุนซื้อสินทรัพย์เป้าหมาย และปรับปรุงสินทรัพย์และตำแหน่งทางการตลาดให้เหมาะสมกับตัวโครงการ รวมถึงการบริหารสินทรัพย์โรงแรมทั้งในและภูมิภาคเอเชีย”
นายเจมส์ กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ในปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนเกือบ 40 ล้านคน ถึงแม้ในปี 2563 จะลดลงเหลือ 8 ล้านคน และ 7 ล้านคนจากจำนวนนี้ เป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนประเทศไทยตั้งแต่ก่อนปิดน่านฟ้า เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิดก็ตาม
ทั้งนี้ ธุรกิจการบินและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลก เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 18% ของจีดีพี สำหรับวิกฤตในครั้งนี้ส่งผลให้มีคนตกงานเพิ่มขึ้นนับล้านคน และโรงแรมจำนวนหลายพันห้องต้องปิดกิจการ ทำให้เกิดความต้องการแหล่งเงินทุนอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ธุรกิจสามารถเปิดกิจการได้อีกครั้ง รวมถึงสามารถจ้างงานบุคลากรที่ถูกเลิกจ้างไปก่อนหน้านี้ ตลอดจนใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการต่อไปได้ภายใต้ภาวะซบเซา อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะยืดเยื้อไปจนกว่าจะมีวัคซีนออกมาใช้งานได้ และธุรกิจการบินสามารถกลับเปิดเส้นทางการบินได้เป็นปกติ
“แม้ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะยังคงอยู่ในสภาพซบเซา และใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการฟื้นตัว จากวิกฤตการณ์ในอดีตที่มีผลกระทบการท่องเที่ยวไทยมาหลายต่อหลายครั้ง จะเห็นได้ว่าการท่องเที่ยวไทยสามารถที่จะฟื้นตัวกลับมาได้ และยังแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆทุกรอบ สามารถต้านแรงเสียดทานจากวิกฤตต่างๆได้ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จะกลับมาแข็งแกร่งน่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ปีกลับสู่ภาวะฟื้นตัวเต็มที่”
นายเจมส์ แคพแลน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดซติเนชั่น แคปปิตอล บริษัทเพื่อการลงทุนและบริหารธุรกิจโรงแรม กล่าวว่า ได้ร่วมกับพันธมิตรเข้าลงทุนในโรงแรมและรีสอร์ทในเอเชีย แปซิฟิค โดยเน้นเข้าซื้อโรงแรมในไทยเป็นหลัก และเน้นคัดโครงการที่มีศักยภาพ รีโนเวท ปรับปรุงการบริหารและการตลาดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงรีแบรนด์ให้ขึ้นเป็นโรงแรมระดับโลก เพื่อช่วยฟื้นฟูการทำรายได้
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างมองหาสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการพัฒนา สร้างผลตอบแทนได้สูง หลังจากปรับปรุงและปรับตำแหน่งทางการตลาดให้เหมาะสมตามกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทแล้ว โดยสินทรัพย์เป้าหมาย ได้แก่ โรงแรมและรีสอร์ทขนาดประมาณ 200 ห้อง ในทำเลชั้นดีในหัวเมืองใหญ่และจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลัก โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะทยอยซื้อโรงแรมสี่ดาวเข้าพอร์ตให้ได้รวมทั้งสิ้น 12-15 แห่ง ภายในอีก 18 เดือนข้างหน้า
“เราจะดึงกองทุนร่วมทุนและกิจการร่วมลงทุนต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ให้เข้ามาร่วมลงทุนซื้อสินทรัพย์เป้าหมาย และปรับปรุงสินทรัพย์และตำแหน่งทางการตลาดให้เหมาะสมกับตัวโครงการ รวมถึงการบริหารสินทรัพย์โรงแรมทั้งในและภูมิภาคเอเชีย”
นายเจมส์ กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ในปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนเกือบ 40 ล้านคน ถึงแม้ในปี 2563 จะลดลงเหลือ 8 ล้านคน และ 7 ล้านคนจากจำนวนนี้ เป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนประเทศไทยตั้งแต่ก่อนปิดน่านฟ้า เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิดก็ตาม
ทั้งนี้ ธุรกิจการบินและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลก เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 18% ของจีดีพี สำหรับวิกฤตในครั้งนี้ส่งผลให้มีคนตกงานเพิ่มขึ้นนับล้านคน และโรงแรมจำนวนหลายพันห้องต้องปิดกิจการ ทำให้เกิดความต้องการแหล่งเงินทุนอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ธุรกิจสามารถเปิดกิจการได้อีกครั้ง รวมถึงสามารถจ้างงานบุคลากรที่ถูกเลิกจ้างไปก่อนหน้านี้ ตลอดจนใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการต่อไปได้ภายใต้ภาวะซบเซา อย่างไรก็ตามสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะยืดเยื้อไปจนกว่าจะมีวัคซีนออกมาใช้งานได้ และธุรกิจการบินสามารถกลับเปิดเส้นทางการบินได้เป็นปกติ
“แม้ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะยังคงอยู่ในสภาพซบเซา และใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการฟื้นตัว จากวิกฤตการณ์ในอดีตที่มีผลกระทบการท่องเที่ยวไทยมาหลายต่อหลายครั้ง จะเห็นได้ว่าการท่องเที่ยวไทยสามารถที่จะฟื้นตัวกลับมาได้ และยังแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆทุกรอบ สามารถต้านแรงเสียดทานจากวิกฤตต่างๆได้ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จะกลับมาแข็งแกร่งน่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ปีกลับสู่ภาวะฟื้นตัวเต็มที่”