ผู้จัดการรายวัน360-“เลขาธิการ ป.ป.ส.” ยอมรับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.หัวร้อน เป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดจริง สั่งให้เข้ามารายงานตัว และตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการทางวินัย ด้านเจ้าตัวขอโทษ ยอมชดใช้ค่าเสียหาย ตำรวจแจ้ง 3 ข้อหา พกปืน ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย
นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีพลเมืองดีเผยแพร่ภาพเคลื่อนไหวเหตุการณ์เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2563 กรณีเกิดอุบัติเหตุทางจราจรในพื้นที่ สน.ดอนเมือง ระหว่างรถยนต์และรถจักรยานยนต์ และในภาพมีชายสวมเสื้อยืดสีดำ ขับรถยนต์วอลโว่ มีพฤติกรรมก้าวร้าวกับคู่กรณี ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ และไม่ให้การช่วยเหลือคู่กรณีที่ได้รับบาดเจ็บ ว่า ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่า ชายสวมเสื้อยืดสีดำเป็นข้าราชการในสังกัด ซึ่งการกระทำดังกล่าว ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม จึงได้มีคำสั่งให้มารายงานตัวกับผู้บังคับบัญชา และได้ลงนามคำสั่งให้เข้ามาประจำในส่วนกลาง และแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการด้านวินัยแล้ว
“ป.ป.ส. จะดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องให้รวดเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และต้องขอโทษผู้เสียหายและสังคม และฝากขอบคุณพลเมืองดีที่ช่วยเป็นหูเป็นตา โดยหากพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งข้อมูลเข้ามาได้ที่สำนักงาน ป.ป.ส. สายด่วน 1386 หรือแจ้งมาที่เพจเฟซบุ๊ก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือเว็บไซต์ www.oncb.go.th ได้ตลอด 24 ชม. จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการกับผู้กระทำความผิดทุกกรณี ไม่มีข้อยกเว้น”
วันเดียวกันนี้ นายภาสกร รอยอินทรัตน์ เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนชำนาญการ ป.ป.ส. ประจำสนามบินดอนเมือง ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.รังสรรค์ สอนสิงห์ ผกก.สน.ดอนเมือง และพ.ต.ท.ชนิด เสือดาว สว.สอบสวน สน.ดอนเมือง เพื่อให้ปากคำ
นายภาสกรกล่าวว่า ได้ขอโทษผู้เสียหาย และได้ไกล่เกลี่ยยอมชดใช้ค่าเสียหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้น มาจากคู่กรณีขี่รถจักรยานยนต์ปาดหน้าก่อนมาเฉี่ยวชนรถของตน จนเกิดการกระทบกระทั่งตามคลิปวีดีโอที่ปรากฏบนโลกสังคมออนไลน์ โดยหลังจากนี้ ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
พ.ต.อ.รังสรรค์กล่าวว่า คดีนี้แยกเป็น 2 ส่วน คือ คดีอุบัติเหตุ ซึ่งตำรวจจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดรอบที่เกิดเหตุ เพื่อความชัดเจน ส่วนกรณีข่มขู่และทำร้ายคู่กรณี เบื้องต้นได้แจ้งข้อหารวม 3 ข้อหา ประกอบด้วย มีและพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร , ข่มขู่ , และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอาการบาดเจ็บ ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีพลเมืองดีเผยแพร่ภาพเคลื่อนไหวเหตุการณ์เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2563 กรณีเกิดอุบัติเหตุทางจราจรในพื้นที่ สน.ดอนเมือง ระหว่างรถยนต์และรถจักรยานยนต์ และในภาพมีชายสวมเสื้อยืดสีดำ ขับรถยนต์วอลโว่ มีพฤติกรรมก้าวร้าวกับคู่กรณี ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ และไม่ให้การช่วยเหลือคู่กรณีที่ได้รับบาดเจ็บ ว่า ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่า ชายสวมเสื้อยืดสีดำเป็นข้าราชการในสังกัด ซึ่งการกระทำดังกล่าว ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม จึงได้มีคำสั่งให้มารายงานตัวกับผู้บังคับบัญชา และได้ลงนามคำสั่งให้เข้ามาประจำในส่วนกลาง และแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการด้านวินัยแล้ว
“ป.ป.ส. จะดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องให้รวดเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และต้องขอโทษผู้เสียหายและสังคม และฝากขอบคุณพลเมืองดีที่ช่วยเป็นหูเป็นตา โดยหากพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งข้อมูลเข้ามาได้ที่สำนักงาน ป.ป.ส. สายด่วน 1386 หรือแจ้งมาที่เพจเฟซบุ๊ก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือเว็บไซต์ www.oncb.go.th ได้ตลอด 24 ชม. จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการกับผู้กระทำความผิดทุกกรณี ไม่มีข้อยกเว้น”
วันเดียวกันนี้ นายภาสกร รอยอินทรัตน์ เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนชำนาญการ ป.ป.ส. ประจำสนามบินดอนเมือง ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.รังสรรค์ สอนสิงห์ ผกก.สน.ดอนเมือง และพ.ต.ท.ชนิด เสือดาว สว.สอบสวน สน.ดอนเมือง เพื่อให้ปากคำ
นายภาสกรกล่าวว่า ได้ขอโทษผู้เสียหาย และได้ไกล่เกลี่ยยอมชดใช้ค่าเสียหายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้น มาจากคู่กรณีขี่รถจักรยานยนต์ปาดหน้าก่อนมาเฉี่ยวชนรถของตน จนเกิดการกระทบกระทั่งตามคลิปวีดีโอที่ปรากฏบนโลกสังคมออนไลน์ โดยหลังจากนี้ ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
พ.ต.อ.รังสรรค์กล่าวว่า คดีนี้แยกเป็น 2 ส่วน คือ คดีอุบัติเหตุ ซึ่งตำรวจจะตรวจสอบกล้องวงจรปิดรอบที่เกิดเหตุ เพื่อความชัดเจน ส่วนกรณีข่มขู่และทำร้ายคู่กรณี เบื้องต้นได้แจ้งข้อหารวม 3 ข้อหา ประกอบด้วย มีและพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร , ข่มขู่ , และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอาการบาดเจ็บ ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
