"อุตตม" ดัน 3 มาตรการช่วยผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี สั่ง"บสย." ทุ่ม 3 หมื่นล้าน ค้ำประกันปล่อยกู้วงเงินรวม 4.5 หมื่นล้านบาท ปรับเงื่อนไขกองทุน 5 หมื่นล้าน อุ้มเอสเอ็มอี ที่มีปัญหาหนี้เสีย "สนธิรัตน์" ลงพื้นที่ลพบุรี
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวถึง มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดจากโควิด-19 ว่า จะมี 3 มาตรการเร่งด่วนเพื่อให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ แม้ที่ผ่านมาจะได้มีมาตรการออกมาช่วยเหลือแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ โดยมาตรการทั้ง 3 นั้นจะประกอบไปด้วย
มาตรการที่ 1 ให้บรรษัทสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เตรียมวงเงินสำหรับค้ำประกันสินเชื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 3 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าภายในช่วง 2-3 เดือนนี้ จะสามารถช่วยให้เอสเอ็มอี เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ 4.5 หมื่นล้านบาท โดยมาตรการนี้ จะเป็นมาตรการช่วยเหลือเฉพาะหน้า เพื่อให้เอสเอ็มอี มีสภาพคล่อง ที่ยังพอจะสามารถหายใจได้อยู่ หลังจากนั้น ค่อยพิจารณาการช่วยเหลือเรื่องเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ สามารถดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องเสนอที่ประชุมครม.
มาตรการที่ 2 การจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หรือคนตัวเล็กที่เข้าไม่ถึงแหล่งทุนในระบบ 5 หมื่นล้านบาท โดยมอบหมายให้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ส่วนการจัดตั้งกองทุนฯ นี้ จะใช้วงเงินจากเงินกู้ ตามพ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท โดยให้สสว. ปล่อยกู้เงื่อนไขผ่อนปรนให้ผู้ประกอบการคนตัวเล็ก รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีสถานะปกติ แต่เข้าไม่ถึงแหล่งทุน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เป็นหนี้เสียกับระบบสถาบันการเงินด้วย โดยจะเสนอให้ครม.พิจารณาในสัปดาห์นี้
มาตรการที่ 3 กำหนดให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และธนาคารออมสิน ไปเร่งหามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการโรงแรมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยให้กำหนดว่า จะมีแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง และจะต้องใช้งบประมาณเท่าใด ทั้งนี้ ให้เร่งพิจารณาและให้นำกลับมาเสนออย่างเร่งด่วน
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และคณะ ลงพื้นที่ จ.ลพบุรี เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเยี่ยมชมระบบโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าแบบติดตั้งลอยน้ำ (Floating PV)ขนาด 2.48 กิโลวัตต์ ที่บริเวณแก้มลิง ต.ท่ามะนาว อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้สำหรับสูบน้ำให้กับเกษตรกร สามารถลดต้นทุนการสูบน้ำให้เกษตรกร หมู่ที่ 1 บ้านสันตะลุง และ หมู่ที่ 6 บ้านท่าฉาง โดยการติดตั้งระบบโซล่าร์เซลล์แบบลอยน้ำนั้น ทำให้แผงโซล่าเซลล์มีประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า ดีกว่าแบบติดตั้งบนบก 8% และไม่เสียพื้นที่การเกษตร และความเย็นของน้ำ ช่วยทำให้การทำงานของแผงโซล่าเซลล์ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พร้อมกันนได้ได้ไปเยี่ยมชม ระบบผลิตและส่งก๊าซชีวภาพจากฟาร์มสุกร ระดับชุมชน ต.ท่ามะนาว ที่กระทรวงพลังงาน ได้เข้าไปพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียแบบปิด หรือระบบผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสุกร ซึ่งนอกจากจะช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ในเรื่องกลิ่นแล้ว ยังได้ประโยชน์จากการส่งก๊าซชีวภาพไปยังครัวเรือน ประมาณ 500ครัวเรือน เพื่อทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้ม หรือคิดเป็นจำนวนเงินมากกว่า 800,000 บาท ต่อปี และยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการทำฟาร์มปศุสัตว์ 5,515 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าต่อปี ทำให้ชุมชนมีรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตไปแล้ว กว่า 3,178 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าคิดเป็นจำนวนเงิน 744,690 บาท นับว่าเป็นต้นแบบการพัฒนาด้านพลังงานอย่างยั่งยืน
"กระทรวงพลังงานได้พยายามพัฒนาและส่งเสริมการดำเนินงานด้านพลังงานเพื่อประชาชนมาโดยตลอด และ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือ การเห็นพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดได้มีโอกาสเข้าถึงการดำเนินงานด้านพลังงานจากการร่วมเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งนอกจากพ่อแม่พี่น้องจะมีรายได้จากการปลูกพืชเกษตรเพื่อส่งเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้าแล้ว ยังมีรายได้จากการเป็นหุ้นส่วนของโรงไฟฟ้า เกิดการจ้างงานในพื้นที่ เมื่อประชาชนมีรายได้ที่มั่นคง มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าการดำเนินงานด้านพลังงานตาม นโยบาย Energy for all จะช่วยพลิกวิกฤตด้านเศรษฐกิจภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19" รมว.พลังงาน กล่าว
นายสนธิรัตน์ ยังปฏิเสธข่าวการเข้าร่วมพรรคกล้า ของ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โดยยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เป็นแค่ข่าวลือ ทั้งนี้ แม้ว่าตนจะลาออกจากพรรคพปชร.แล้ว แต่ยังไม่คิดถึงเรื่องการเมือง ในมิติอื่นๆ ตอนนี้ขอตั้งใจทำหน้าที่ในฐานะ รมว.พลังงานให้ดีที่สุด เพราะปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชน เป็นเรื่องใหญ่ และสำคัญมาก ตอนนี้อยากให้หยุดเรื่องการเมืองกันไว้ก่อน ขอให้หันมาช่วยเหลือประชาชนกันให้มากที่สุดก่อน
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวถึง มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดจากโควิด-19 ว่า จะมี 3 มาตรการเร่งด่วนเพื่อให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ แม้ที่ผ่านมาจะได้มีมาตรการออกมาช่วยเหลือแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ โดยมาตรการทั้ง 3 นั้นจะประกอบไปด้วย
มาตรการที่ 1 ให้บรรษัทสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เตรียมวงเงินสำหรับค้ำประกันสินเชื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 3 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าภายในช่วง 2-3 เดือนนี้ จะสามารถช่วยให้เอสเอ็มอี เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ 4.5 หมื่นล้านบาท โดยมาตรการนี้ จะเป็นมาตรการช่วยเหลือเฉพาะหน้า เพื่อให้เอสเอ็มอี มีสภาพคล่อง ที่ยังพอจะสามารถหายใจได้อยู่ หลังจากนั้น ค่อยพิจารณาการช่วยเหลือเรื่องเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ สามารถดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องเสนอที่ประชุมครม.
มาตรการที่ 2 การจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หรือคนตัวเล็กที่เข้าไม่ถึงแหล่งทุนในระบบ 5 หมื่นล้านบาท โดยมอบหมายให้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ส่วนการจัดตั้งกองทุนฯ นี้ จะใช้วงเงินจากเงินกู้ ตามพ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท โดยให้สสว. ปล่อยกู้เงื่อนไขผ่อนปรนให้ผู้ประกอบการคนตัวเล็ก รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีสถานะปกติ แต่เข้าไม่ถึงแหล่งทุน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เป็นหนี้เสียกับระบบสถาบันการเงินด้วย โดยจะเสนอให้ครม.พิจารณาในสัปดาห์นี้
มาตรการที่ 3 กำหนดให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และธนาคารออมสิน ไปเร่งหามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการโรงแรมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยให้กำหนดว่า จะมีแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง และจะต้องใช้งบประมาณเท่าใด ทั้งนี้ ให้เร่งพิจารณาและให้นำกลับมาเสนออย่างเร่งด่วน
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และคณะ ลงพื้นที่ จ.ลพบุรี เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเยี่ยมชมระบบโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าแบบติดตั้งลอยน้ำ (Floating PV)ขนาด 2.48 กิโลวัตต์ ที่บริเวณแก้มลิง ต.ท่ามะนาว อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้สำหรับสูบน้ำให้กับเกษตรกร สามารถลดต้นทุนการสูบน้ำให้เกษตรกร หมู่ที่ 1 บ้านสันตะลุง และ หมู่ที่ 6 บ้านท่าฉาง โดยการติดตั้งระบบโซล่าร์เซลล์แบบลอยน้ำนั้น ทำให้แผงโซล่าเซลล์มีประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า ดีกว่าแบบติดตั้งบนบก 8% และไม่เสียพื้นที่การเกษตร และความเย็นของน้ำ ช่วยทำให้การทำงานของแผงโซล่าเซลล์ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พร้อมกันนได้ได้ไปเยี่ยมชม ระบบผลิตและส่งก๊าซชีวภาพจากฟาร์มสุกร ระดับชุมชน ต.ท่ามะนาว ที่กระทรวงพลังงาน ได้เข้าไปพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียแบบปิด หรือระบบผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสุกร ซึ่งนอกจากจะช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ในเรื่องกลิ่นแล้ว ยังได้ประโยชน์จากการส่งก๊าซชีวภาพไปยังครัวเรือน ประมาณ 500ครัวเรือน เพื่อทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้ม หรือคิดเป็นจำนวนเงินมากกว่า 800,000 บาท ต่อปี และยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการทำฟาร์มปศุสัตว์ 5,515 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าต่อปี ทำให้ชุมชนมีรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตไปแล้ว กว่า 3,178 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าคิดเป็นจำนวนเงิน 744,690 บาท นับว่าเป็นต้นแบบการพัฒนาด้านพลังงานอย่างยั่งยืน
"กระทรวงพลังงานได้พยายามพัฒนาและส่งเสริมการดำเนินงานด้านพลังงานเพื่อประชาชนมาโดยตลอด และ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือ การเห็นพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดได้มีโอกาสเข้าถึงการดำเนินงานด้านพลังงานจากการร่วมเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งนอกจากพ่อแม่พี่น้องจะมีรายได้จากการปลูกพืชเกษตรเพื่อส่งเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้าแล้ว ยังมีรายได้จากการเป็นหุ้นส่วนของโรงไฟฟ้า เกิดการจ้างงานในพื้นที่ เมื่อประชาชนมีรายได้ที่มั่นคง มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าการดำเนินงานด้านพลังงานตาม นโยบาย Energy for all จะช่วยพลิกวิกฤตด้านเศรษฐกิจภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19" รมว.พลังงาน กล่าว
นายสนธิรัตน์ ยังปฏิเสธข่าวการเข้าร่วมพรรคกล้า ของ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โดยยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เป็นแค่ข่าวลือ ทั้งนี้ แม้ว่าตนจะลาออกจากพรรคพปชร.แล้ว แต่ยังไม่คิดถึงเรื่องการเมือง ในมิติอื่นๆ ตอนนี้ขอตั้งใจทำหน้าที่ในฐานะ รมว.พลังงานให้ดีที่สุด เพราะปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชน เป็นเรื่องใหญ่ และสำคัญมาก ตอนนี้อยากให้หยุดเรื่องการเมืองกันไว้ก่อน ขอให้หันมาช่วยเหลือประชาชนกันให้มากที่สุดก่อน