ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถ้าหาก “บิ๊กแป๊ะพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ไม่เอ่ยปากยืนยันว่า “กองปราบปราม” ไม่ซี้ซั้วเรื่อง “พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์” มีแผนจะ “แหกคุก” ก็ไม่น่าแปลกใจที่สังคมตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็น “จินตนาการสุดขอบฟ้า”
แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่น่าแปลกใจนัก ถ้า พ.ต.ท.บรรยินตัดสินใจทำ เพราะคดีความต่างๆ ที่เขาเกี่ยวข้องนั้น ล้วนแล้วแต่มีโทษหลายแรงทั้งสิ้น ตลอดรวมถึงถ้าย้อนกลับ”ไปดูพฤติการณ์ของเขาในคดีทุกคดี ก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของเขา
ณ เวลานี้ พ.ต.ท.บรรยิน ถูกจองจำในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในคดีฆ่าอำพราง “เสี่ยจืด-ชูวงษ์ แซ่ตั๊ง” คดีปลอมเอกสารโอนหุ้นเสี่ยจืดมูลค่า 300 ล้านบาทและคดีอุ้มฆ่าเผานั่งยาง “นายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ”** พี่ชาย “น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐ” ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอาญากรุงเทพใต้
“ส่วนตัวผมคิดว่าถ้ามีโอกาสเขาทำแน่ ทำทุกรูปแบบที่เป็นการคุกคาม ข่มขู่ ในลักษณะแบบนี้ดูจากที่ผ่านๆ มาที่เป็นคดี คิดว่าเขาทำจริงหรือไม่ อย่างคราวที่แล้วอุ้มพี่ชายผู้พิพากษา ตัวเขาก็มาในที่เกิดเหตุ ผมทำคดีอยู่ เขายังเข้าใจว่าเป็นสามีผู้พิพากษาด้วยซ้ำ บก.ป.เดินถูกทางแล้วไม่ต้องห่วง บก.ป.ไม่ทำคดีซี้ซั้ว ทุกอย่างมีที่มาที่ไป และไม่มีเหตุผลที่จะไปกุข่าวขึ้นมาทำเรื่องพวกนี้”
ทั้งนี้ ถ้าถอดความจากสิ่งที่ ผบ.ตร.กล่าวข้างต้นก็พอจะ “หลับตาเห็นภาพ” ได้ตามที่ “บิ๊กแป๊ะ” ว่าไว้ได้ไม่ยาก
ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่า “เสี่ยจืด-ชูวงษ์” แม้แต่ครอบครัว ด้วย พ.ต.ท.บรรยินกับเสี่ยจืด-ชูวงษ์นั้นเป็นเพื่อนรักกัน กระทั่งเมื่อสืบไปสืบมาพบพิรุธหลายประการ ทางครอบครัวจึงเดินหน้าดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.บรรยิน เช่นเดียวกับคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาซึ่งทำคดีที่เขาไปพัวพัน จนปรากฏหลักฐานและนำไปสู่การจับกุมดำเนินดีในเวลาต่อมา
โดยเฉพาะในคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาที่ถือว่า “กล้าผิดมนุษย์มนา”
คดีดังกล่าวจากการรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน พบว่า ระหว่างวันที่ 7 ม.ค - 5 ก.พ.63 พ.ต.ท.บรรยิน กับพวกสมคบกันเพื่อทำการลักพาตัวนายวีรชัย พี่ชายของผู้พิพากษาอาวุโสเจ้าของสำนวนคดีปลอมเอกสารหุ้นนายชูวงษ์ เพื่อข่มขู่ให้มีคำพิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยินกับพวกที่ถูกฟ้องเป็นคดีในศาลอาญากรุงเทพใต้ พร้อมกับให้คืนเงินกับหุ้นในคดีทั้งหมดแก่ พ.ต.ท.บรรยิน ซึ่งการกระทำนั้นมีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำ แล้วในวันที่ 4 ก.พ.63 ก่อนเกิดเหตุ พวกของ พ.ต.ท.บรรยิน ขับมาที่ ถ.จันทน์ แล้วไปจอดรอที่ฝั่งตรงข้ามอาคารศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 (จุดเกิดเหตุ)
เมื่อพี่ชายผู้พิพากษาลงจากรถแท็กซี่ พวกของ พ.ต.ท.บรรยิน ก็ร่วมกันพาตัวพี่ชายผู้พิพากษาขึ้นรถแล้วขับหลบหนี ระหว่างนั้นผู้พิพากษาโทรศัพท์ไปยังหมายเลขของพี่ชาย พวกของ พ.ต.ท.บรรยิน ได้พูดข่มขู่ผู้พิพากษา ให้พิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยินกับจำเลยคดีโอนหุ้น หากไม่ทำตามก็จะฆ่าพี่ชาย ซึ่งต่อมาการสอบสวนและรวบรวมหลักฐานพบว่ามีการเผาอำพรางศพของพี่ชายผู้พิพากษา ในพื้นที่ ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ก่อนที่จะนำเถ้ากระดูก และเถ้าถ่านในจุดที่เผาไปทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อทำลายหลักฐานในการกระทำผิด โดยพนักงานสอบสวน บก.ป. ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายจับทั้งหมดเพื่อดำเนินคดี
นักอาชญวิทยามีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “มีความเป็นไปได้ที่เขาวางแผนจะหลบหนี เพราะโทษของเขาอาจถูกประหารชีวิต หรือติดคุกตลอดชีวิต ซึ่งเจ้าหน้าที่อาจจะต้องระวังเขามากขึ้น ในเวลาที่เขายังอยู่ในเรือนจำ ก็พยายามอย่าให้มีช่องโหว่”
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือสังคมอาจลืมไปแล้วว่า พ.ต.ท.บรรยินไม่ได้เป็นแค่ตำรวจ หากแต่เป็นนักการเมือง เป็น ส.ส.และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก่อนจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี เนื่องจากการยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย
ณ เวลานั้น พ.ต.ท.บรรยิน ดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค โดยมี “นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน” เป็นหัวหน้าพรรคและมี “นางพรทิวา นาคาศัย” เป็นเลขาธิการพรรค
ด้วยเหตุนี้ พ.ต.ท.บรรยินจึงถือเป็นคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ทั้งในแวดวงตำรวจและแวดวงนักการเมืองอย่างหาตัวจับได้ยาก
กล่าวสำหรับ “แผนแหกคุก” นั้น มีที่มาที่ไปจากการที่มีรายงานจากกองปราบปรามว่า ขณะนี้ชุดสืบสวนกองปราบปราม กำลังสืบสวนคดีคนร้ายวางแผนชิงตัว พ.ต.ท.บรรยินที่ถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อยู่ในขณะนี้ โดยเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากที่ชุดสืบสวนกองปราบปราม ได้จับกุมตัว นายโจ อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีลักทรัพย์ หลังได้รับการประกันตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่ยังคงมีหมายจับค้างเก่าติดตัวอีก 1 หมาย จากนั้นนำตัวมาสอบปากคำ
เบื้องต้นนายโจ ให้การรับสารภาพว่า ที่ได้ประกันตัวออกมาเป็นเพราะ พ.ต.ท.บรรยิน ที่รู้จักกันในเรือนจำฯ ได้ให้ทนายความส่วนตัว ติดต่อทนายความอีกคนให้มาประกันตัวออกจากเรือนจำ โดยอ้างว่า ที่ พ.ต.ท.บรรยิน ช่วยเหลือในครั้งนี้ เพราะตอนอยู่ในเรือนจำรู้จักกันกับ พ.ต.ท.บรรยิน และ พ.ต.ท.บรรยิน สั่งให้ทำงานให้ 2 ข้อ
ข้อแรก ให้หาทางชิงตัว พ.ต.ท.บรรยิน ออกจากคุก
ข้อที่สอง หากทำข้อแรกไม่สำเร็จ ให้ลักพาตัวภรรยาของ ผบ.เรือนจำ มาให้ได้เพื่อใช้ต่อรองกับ ผบ.เรือนจำ เรื่องการหนีออกจากคุก พร้อมทั้งยังให้เบอร์ของ ส.ส.คนหนึ่งในพื้นที่ภาคเหนือ ที่เคยเป็นลูกน้องของ พ.ต.ท.บรรยิน เพื่อให้ร่วมกันวางแผนในครั้งนี้ ซึ่งโทรไปแล้ว แต่อดีตลูกน้องไม่ขอร่วมด้วย
นอกจาก นายโจแล้ว ชุดสืบสวนยังทราบว่า มี นายท็อป อายุ 30 ปี ผู้ต้องหากรรโชกทรัพย์อีกคน ที่ พ.ต.ท.บรรยิน สั่งให้ทำงานนี้ ซึ่งนายท็อป เป็นคนบ้านเดียวกันกับ พ.ต.ท.บรรยิน ซึ่งขณะอยู่ในเรือนจำมีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.บรรยิน ก่อนได้รับการปล่อยตัวออกมาจากการประกันตัว หลังทราบเรื่อง ชุดสืบสวนกองปราบปราม ได้ออกหาเบาะแส จนสามารถจับกุมตัวนายท็อปได้ เมื่อวันจันทร์ที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา
สอบสวน นายท็อป รับว่า รู้จักกับ พ.ต.ท.บรรยิน ในเรือนจำจริง และอ้างว่าระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ พ.ต.ท.บรรยิน ได้สั่งให้หาทางช่วยเหลือออกจากคุกเช่นเดียวกับนายโจ ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน ได้เล่ารายละเอียดในการวางแผน ว่า จะมีคนมาวางระเบิดข้างเรือนจำ จากนั้นจะล้มเสาธงชาติกลางลานสนามหญ้า เพื่อใช้ปีนหนี เมื่อออกมาได้ จะมีเฮลิคอปเตอร์มารับตัวอีกทีหนึ่ง
นอกจากนี้ มีรายงานด้วยว่า พ.ต.ท.บรรยิน ได้พยายามฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา แต่เจ้าหน้าที่ไปพบ และเข้าช่วยเหลือไว้ได้
“พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป.ให้ข้อมูลว่า ได้เรียกประชุมคณะทำงานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวและได้มีการแบ่งหน้าที่ไปแล้ว โดยเบื้องต้นได้ออกหมายเรียกบุคคลสำคัญมาสอบปากคำทั้งหมด 3 ราย โดยกองปราบฯ มีพยานหลักฐานเส้นทางการเงินกับการติดต่อสื่อสารถึงแผนการดังกล่าวชัดเจน แต่ยังไม่สามารถระบุรายละเอียดได้
ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งว่า บุคคล 3 รายที่ทางพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกมาสอบปากคำในฐานะพยานประกอบด้วย 1.ทนายความที่ช่วยประกันตัวนายสุธน ทองศิริหรือโจ 2.พ.ต.ท.นุกูล แสงศิริ อดีต ส.ส.เขต 4 จังหวัดนครสวรรค์ และ 3. นายวรภัทร ตั้งภากรณ์ หรือบอส บุตรชายของ พ.ต.ท.บรรยิน
ขณะที่ตัว พ.ต.ท.บรรยิน แถลงต่อศาลถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเรื่องวางแผนแหกคุกหลบหนีว่า ไม่เป็นความจริง เพราะที่ผ่านมาตนเองถูกคุมขังเดี่ยวและไม่ได้ติดต่อกับใคร
ทั้งนี้ หลังจากแผนแหกคุกรั่ว กรมราชทัณฑ์ก็ได้ย้ายตัว พ.ต.ท.บรรยิน จากเดิมที่ถูกควบคุมตัวในคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปไว้ที่เรือนจำกลางบางขวางแทน
งานนี้ ดูทรงแล้วน่าจะเป็นเพียงการ “มโนสุดขอบฟ้า” ของ พ.ต.ท.บรรยิน เอง เพราะในทางปฏิบัติแล้ว ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงได้ ดังที่ “นายกฯ ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเอาไว้ว่า“เห็นเป็นข่าวหลายวันแล้ว ผมนึกว่าเป็นหนัง ดูหนังมากไปหรือเปล่า มันคงทำไม่ได้หรอกมั้งแผนแหกคุก มีแต่ในเน็ตฟลิกซ์ที่มีหลายเรื่อง ถ้าทำได้ก็แสดงว่าบกพร่องแล้ว”