"สุเทพ" ขึ้นศาลสู้คดีชุมนุมทางการเมือง กปปส. ลั่นไม่ขอนิรโทษกรรม พร้อมรับคำตัดสินตามกระบวนการตาม กม. ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง 8 ผู้ชุมนุม กปปส. ร่วม “ณัฏฐพล-ทยา” ขวางเลือกตั้งล่วงหน้าเขตทุ่งครุ สั่งจำคุก 1 ราย ปรับ 2 หมื่น บ. ให้รอลงอาญา
วานนี้ (18 มิ.ย.) ที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานจำเลย คดีชุมนุม กปปส. หมายเลขดำ อ.247/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส., นายถาวร เสนเนียม และอดีตแกนนำ กปปส. รวม 9 คน เป็นจำเลยในความผิด ฐานร่วมกันกบฏ และข้อหาอื่นรวม 8 ข้อหา กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย.56 – 1 พ.ค.57 กปปส.ร่วมชุมนุมกันเพื่อขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการพาผู้ชุมนุมบุกรุกปิดสถานที่ราชการหลายแห่ง รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง
โดย นายสุเทพ กล่าวถึงกระแสข่าวว่ารัฐบาลอาจดำเนินการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองในช่วงนี้ว่า พวกเราที่เป็นจำเลยมีพวกตนที่เป็นแกนนำ 9 คน และมีผู้ชุมนุมที่ติดร่างแหไปด้วยอีก 30 คน รวมจำเลยทั้งหมด 39 คนต่อสู้คดีในชั้นศาลมาแล้ว กว่า 1 ปี ภายในเดือนหน้าก็จะสืบพยานโจทก์-จำเลยเสร็จสิ้น หลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะพิพากษาอย่างไร เราก็ยอมรับทุกอย่าง
“ถือว่าเราได้กระทำการช่วยชาติ ช่วยแผ่นดินโดยสุจริตใจ เมื่อตอนที่จะออกมาชุมนุมเดินขบวน เราก็รู้อยู่แล้วว่าอาจจะต้องถูกดำเนินคดีในหลายคดี พร้อมที่จะต้องสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ยืนยันว่าไม่ได้เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรม กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย” นายสุเทพ กล่าว
อีกด้าน ที่ห้องพิจารณา 908 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.338/2560 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ปราณี ธรรมนิยม, นายชวลิต ศิริกังวาลกุล นายทองใบ แจ่มจำรัส นายทวี โพธิ์ดำ น.ส.กฤษณา น้อยปลา นายณรงค์ ปิณฑรัตนวิบูลย์ นายทวี อับดุลเลาะห์ น.ส.กุสุมา อินสมะพันธ์, นางจารุวรรณ แสงอรุณ และน.ส.ปาตีเมาะ แสงสว่าง เป็นจำเลยที่ 1-10 ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 มาตรา 76 และมาตรา 152 กรณีเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2557 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 10 กับนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และนางทยา ทีปสุวรรณ ซึ่งแยกไปดำเนินคดีต่างหากแล้ว กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันนำกลุ่ม กปปส.ประมาณ 50 คน ไปปิดล้อมทางเข้าสำนักงานเขตทุ่งครุ ซึ่งเป็นที่เลือกตั้งกลางประจำเขตเลือกตั้งที่ 26 กทม. อันเป็นสถานที่ที่กำหนดให้ทำการลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้งทั่วไป ทำให้เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สามารถเข้าไปในสำนักงานเขตทุ่งครุได้
คดีนี้จำเลยที่ 3 เสียชีวิต ศาลจึงให้จำหน่ายส่วนของจำเลยที่ 3 ออกจากสารบบความ ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-2, 6-7 คนละ 1 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 4-5, 8-10 คนละ 1 ปี คำเบิกความของจำเลยที่ 1-2, 4-10 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1-2, 6-7 คนละ 1 ปี จำเลยที่ 4-5, 8-10 คนละ 8 เดือน และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยที่ 1-2, 4-10 คนละ 5 ปี จากนั้นพวกจำเลยยื่นอุทธรณ์และได้รับการประกันตัว
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ในส่วนของจำเลยที่ 1 โจทก์มีตำรวจ สน.ทุ่งครุ เป็นพยาน เบิกความพบจำเลยที่ 1 กำลังพูดโทรโข่งเรียกกลุ่มคนให้เข้าไปขัดขวางตำรวจที่จะตัดโซ่คล้องปิดประตูสำนักงานเขตทุ่งครุ ศาลเห็นว่าพยานโจทก์เป็นข้าราชการตำรวจท้องที่ จำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกสภาเขตท้องที่ ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏมูลเหตุจูงใจที่พยานจะปรักปรำจำเลยที่ 1 น่าเชื่อว่าพยานเบิกความไปตามที่พบเห็น ประกอบกับจำเลยที่ 1 รับว่าวันเกิดเหตุได้มาที่สำนักงานเขตทุ่งครุ พูดโทรโข่งรณรงค์ให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง พยานโจทก์ที่สืบมามีน้ำหนักมั่นคง ส่วนที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยเพียงแต่พูดโทรโข่งเรียกมวลชน ไม่ได้กระทำด้วยความรุนแรง สมควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีด้วยการรอการลงโทษจำคุก แต่เพื่อให้หลาบจำจึงให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง
สำหรับจำเลยที่ 2, 4-10 โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่ามีพฤติกรรมหรือการกระทำใดอันเป็นการขัดขวางการลงคะแนนเลือกตั้งแต่อย่างใด จำเลยไม่มีการปิดบังอำพรางใบหน้า ชุมนุมอย่างเปิดเผย ด้วยความสงบปราศจากความรุนแรง แม้มีเจตนาร่วมชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป เช่นเดียวกับกลุ่มบุคคลที่ใช้โซ่คล้องแล้วใส่กุญแจปิดสำนักงานเขตทุ่งครุ ก็ไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2, 4-10 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดด้วย การกระทำของจำเลยที่ 2, 4-10 ไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2, 4-10 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงปรับ 20,000 บาท โทษจำคุก 1 ปี ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2, 4-10 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
วานนี้ (18 มิ.ย.) ที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานจำเลย คดีชุมนุม กปปส. หมายเลขดำ อ.247/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส., นายถาวร เสนเนียม และอดีตแกนนำ กปปส. รวม 9 คน เป็นจำเลยในความผิด ฐานร่วมกันกบฏ และข้อหาอื่นรวม 8 ข้อหา กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย.56 – 1 พ.ค.57 กปปส.ร่วมชุมนุมกันเพื่อขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการพาผู้ชุมนุมบุกรุกปิดสถานที่ราชการหลายแห่ง รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง
โดย นายสุเทพ กล่าวถึงกระแสข่าวว่ารัฐบาลอาจดำเนินการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองในช่วงนี้ว่า พวกเราที่เป็นจำเลยมีพวกตนที่เป็นแกนนำ 9 คน และมีผู้ชุมนุมที่ติดร่างแหไปด้วยอีก 30 คน รวมจำเลยทั้งหมด 39 คนต่อสู้คดีในชั้นศาลมาแล้ว กว่า 1 ปี ภายในเดือนหน้าก็จะสืบพยานโจทก์-จำเลยเสร็จสิ้น หลังจากนี้ ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะพิพากษาอย่างไร เราก็ยอมรับทุกอย่าง
“ถือว่าเราได้กระทำการช่วยชาติ ช่วยแผ่นดินโดยสุจริตใจ เมื่อตอนที่จะออกมาชุมนุมเดินขบวน เราก็รู้อยู่แล้วว่าอาจจะต้องถูกดำเนินคดีในหลายคดี พร้อมที่จะต้องสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ยืนยันว่าไม่ได้เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรม กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย” นายสุเทพ กล่าว
อีกด้าน ที่ห้องพิจารณา 908 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.338/2560 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ปราณี ธรรมนิยม, นายชวลิต ศิริกังวาลกุล นายทองใบ แจ่มจำรัส นายทวี โพธิ์ดำ น.ส.กฤษณา น้อยปลา นายณรงค์ ปิณฑรัตนวิบูลย์ นายทวี อับดุลเลาะห์ น.ส.กุสุมา อินสมะพันธ์, นางจารุวรรณ แสงอรุณ และน.ส.ปาตีเมาะ แสงสว่าง เป็นจำเลยที่ 1-10 ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 มาตรา 76 และมาตรา 152 กรณีเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2557 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 10 กับนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และนางทยา ทีปสุวรรณ ซึ่งแยกไปดำเนินคดีต่างหากแล้ว กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันนำกลุ่ม กปปส.ประมาณ 50 คน ไปปิดล้อมทางเข้าสำนักงานเขตทุ่งครุ ซึ่งเป็นที่เลือกตั้งกลางประจำเขตเลือกตั้งที่ 26 กทม. อันเป็นสถานที่ที่กำหนดให้ทำการลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้งทั่วไป ทำให้เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สามารถเข้าไปในสำนักงานเขตทุ่งครุได้
คดีนี้จำเลยที่ 3 เสียชีวิต ศาลจึงให้จำหน่ายส่วนของจำเลยที่ 3 ออกจากสารบบความ ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-2, 6-7 คนละ 1 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 4-5, 8-10 คนละ 1 ปี คำเบิกความของจำเลยที่ 1-2, 4-10 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1-2, 6-7 คนละ 1 ปี จำเลยที่ 4-5, 8-10 คนละ 8 เดือน และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยที่ 1-2, 4-10 คนละ 5 ปี จากนั้นพวกจำเลยยื่นอุทธรณ์และได้รับการประกันตัว
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ ในส่วนของจำเลยที่ 1 โจทก์มีตำรวจ สน.ทุ่งครุ เป็นพยาน เบิกความพบจำเลยที่ 1 กำลังพูดโทรโข่งเรียกกลุ่มคนให้เข้าไปขัดขวางตำรวจที่จะตัดโซ่คล้องปิดประตูสำนักงานเขตทุ่งครุ ศาลเห็นว่าพยานโจทก์เป็นข้าราชการตำรวจท้องที่ จำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกสภาเขตท้องที่ ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏมูลเหตุจูงใจที่พยานจะปรักปรำจำเลยที่ 1 น่าเชื่อว่าพยานเบิกความไปตามที่พบเห็น ประกอบกับจำเลยที่ 1 รับว่าวันเกิดเหตุได้มาที่สำนักงานเขตทุ่งครุ พูดโทรโข่งรณรงค์ให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง พยานโจทก์ที่สืบมามีน้ำหนักมั่นคง ส่วนที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยเพียงแต่พูดโทรโข่งเรียกมวลชน ไม่ได้กระทำด้วยความรุนแรง สมควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีด้วยการรอการลงโทษจำคุก แต่เพื่อให้หลาบจำจึงให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง
สำหรับจำเลยที่ 2, 4-10 โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่ามีพฤติกรรมหรือการกระทำใดอันเป็นการขัดขวางการลงคะแนนเลือกตั้งแต่อย่างใด จำเลยไม่มีการปิดบังอำพรางใบหน้า ชุมนุมอย่างเปิดเผย ด้วยความสงบปราศจากความรุนแรง แม้มีเจตนาร่วมชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป เช่นเดียวกับกลุ่มบุคคลที่ใช้โซ่คล้องแล้วใส่กุญแจปิดสำนักงานเขตทุ่งครุ ก็ไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2, 4-10 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดด้วย การกระทำของจำเลยที่ 2, 4-10 ไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2, 4-10 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 30,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงปรับ 20,000 บาท โทษจำคุก 1 ปี ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 2, 4-10 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น