นับตั้งแต่เชื้อไวรัสโคโรนาระบาดในมณฑลอู่ฮั่นของจีน เมื่อปลายปี พ.ศ. 2562 และได้แพร่ระบาดไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย การดำเนินชีวิตของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งมีการระบาดของไวรัสชนิดนี้ได้รับผลกระทบทั้งในทางเศรษฐกิจ และสังคม ทั้งนี้ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. โดยธรรมชาติของโรคระบาดทุกชนิด จะแพร่เชื้อจากผู้ป่วยจากการติดเชื้อหนึ่งคนไปยังผู้ที่เข้ามาสัมผัสใกล้ชิดกับเขาได้หลายคน และการป้องกันการแพร่ระบาดก็จะกระทำได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ต่อเมื่อทุกคนในพื้นที่ซึ่งมีการแพร่ระบาดได้รับการฉีดป้องกันเชื้อชนิดนั้นๆ เท่านั้น
แต่ในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสชนิดนี้ ดังนั้น การป้องกันกระทำได้โดยใช้มาตรการทางสังคมโดยการออกกฎหมายควบคุมควบคู่ไปกับการขอความร่วมมือจากประชาชน
ส่วนผู้ป่วยจากการติดเชื้อสามารถรักษาให้หายได้โดยการใช้ยารักษาตามอาการ แต่ก็มีผู้ป่วยส่วนหนึ่งเสียชีวิต โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน และความดัน เป็นต้น อยู่ก่อนแล้ว
ส่วนว่าจะมีผู้เสียชีวิตมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ป่วยมากหรือน้อย และวิธีการรักษาซึ่งจะต้องพึ่งพาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เพียงพอ ทั้งบุคลากรทางการแพทย์จะต้องมีความรู้ ความชำนาญ รวมไปถึงการทุ่มเทแรงกาย แรงใจด้วย
2. ด้วยเหตุปัจจัยในข้อ 1 ในทุกประเทศที่โควิด-19 ระบาด ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาสังคม อันเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ส่วนว่าจะเดือดร้อนมากหรือเดือดร้อนน้อย ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ก่อนที่โควิด-19 จะระบาด ได้มีปัญหาเศรษฐกิจและสังคมหรือไม่ และถ้ามีมากน้อยแค่ไหน
2. ศักยภาพในการแก้ปัญหาทั้งสองประการนี้ของรัฐบาล ผู้บริหารประเทศนั้นๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน
3. ถ้าปัญหาเศรษฐกิจ และสังคมได้เกิดขึ้น และดำรงอยู่ ทั้งมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และรัฐบาลไม่มีศักยภาพในการแก้ปัญหาเพียงพอ อนุมานได้ว่า เมื่อมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ และสังคม จะต้องรุนแรงขึ้นกว่าเดิมแน่นอน
ในส่วนของประเทศไทย โควิด-19 ได้เริ่มแพร่ระบาดในเดือนมกราคม และรุนแรงขึ้นในเดือนมีนาคม แล้วค่อยทุเลาเบาบางลงในปลายเดือนเมษายน จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม การติดเชื้อภายในประเทศต่ำลง และเป็นศูนย์ ณ ปัจจุบัน จะมีเพียงผู้ติดเชื้อซึ่งเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ และอยู่ในสถานกักตัวเพื่อตรวจหาการติดเชื้อเท่านั้น จึงพออนุมานได้ว่า โควิด-19 ในประเทศไทยกำลังจะอยู่ภาวะปราศจากการแพร่เชื้อ 100 เปอร์เซ็นต์ ในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน
แต่ถึงแม้ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะหมดไป ประเทศไทยก็ใช่ว่าจะพ้นวิบากกรรม อันเกิดจากโรคระบาดชนิดนี้ ทั้งนี้เนื่องจากว่านับจากนี้ไป คนไทยจะพบกับปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาสังคมซึ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ อนุมานจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
ถ้าย้อนไปในอดีตเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา (2557-2562) ซึ่งเป็นระยะที่ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ และรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนเดียวกันกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ได้ดำเนินการแก้ไขโดยใช้นโยบายพลังประชารัฐในรูปแบบต่างๆ ในทำนองเดียวกันกับประชานิยมของรัฐบาล ก่อนหน้านี้ แต่ดูเหมือนว่ายิ่งแก้ ยิ่งแย่ลง จะเห็นได้จากช่องว่างรายได้ระหว่างคนจนกับคนรวยกว้างขึ้นกว่าเดิม เข้าทำนองคำพูดที่ว่า นโยบายแบบนี้ ทำให้คนรวยยิ่งขึ้น และทำให้คนจนยิ่งจนลง
ดังนั้น เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และรัฐบาลจำเป็นต้องป้องกันการแพร่ระบาด โดยใช้มาตรการเข้มงวด ด้วยการปิดเมือง ปิดประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมทั้งระบบ แต่ที่ได้รับผลกระทบมากก็คือ ผู้ใช้แรงงาน เนื่องจากผู้ประกอบการปิดกิจการ และเลิกจ้างแรงงาน รวมไปถึงพ่อค้า แม่ค้า ประเภททำมาหากินวันต่อวันเดือดร้อนกันไปทั่ว
2. ปัญหาสังคม
ก่อนหน้าที่มีโควิด-19 ระบาด ปัญหาอาชญากรรม เช่น จี้ ปล้น ชิงทรัพย์ ก็มีให้เห็นอย่างดาษดื่น และเกิดโควิด-19 ระบาดความยากจนเพิ่มขึ้น อาชญากรรมประเภทนี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
3. นอกจากต้องเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจ และสังคมแล้ว คนไทยจะต้องรับวิบากกรรมจากการก่อหนี้ของรัฐบาล เพื่อนำมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจในอนาคตอีกด้วย
จากเหตุ 3 ประการข้างต้น ประชาชนคนไทยจะต้องอยู่ภายใต้การบริหารประเทศที่แก้ปัญหาด้วยการลด แลก แจก แถม โดยไม่คำนึงว่าให้แล้วจะช่วยให้ประชาชนพ้นจากความจนได้อย่างไรไปอีกนานเท่าใด ไม่มีใครตอบได้
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่า ความอดทนของคนมีข้อจำกัด สักวันหนึ่งเมื่อหมดความอดทน การลุกขึ้นต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงก็อาจเกิดขึ้น