วันนี้...คงต้องไปว่ากันแบบ “อะราวนด์ เดอะ เวิลด์” สักเล็กๆ น้อยๆ คือไม่ได้เฉพาะเจาะจงลงไป ณ ที่หนึ่ง ที่ใด แต่ว่ากันแบบครอบคลุมไปในระดับทั่วทั้งโลก ด้วยเหตุเพราะสิ่งที่ใครต่อใครแทบทั้งโลก เขาออกจะไหวหวั่น สั่นประสาท กันเป็นจำนวนไม่น้อย นับจากนี้เป็นต้นไป น่าจะหนีไม่พ้นไปจาก “ความเป็นไปได้” ในการหวนกลับมาแพร่ระบาดรอบใหม่ของเชื้อโคโรนาไวรัส “COVID-19” นั่นแหละทั่น!!!
คือในขณะที่ “เส้นกราฟ” จำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ตายในประเทศต่างๆ โดยส่วนใหญ่ ชักจะแบนๆ ราบๆ ขึ้นมามั่งแล้ว และขณะที่ผู้คนในแต่ละประเทศ ชักใกล้ๆ “อดตาย” หรือใกล้จะ “เจ๊งตาย” กันแทนที่ การหันมาผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ในการควบคุม ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ เพื่อให้ใครต่อใครออกไปทำมาหารับประทานได้มั่ง จึงเป็น “ข้อเสนอที่มิอาจปฏิเสธได้” อีกต่อไป แต่ก็นั่นแหละ...โดยประวัติศาสตร์ของเชื้อโรค และโดยพฤติกรรมการ “กลายพันธุ์” ของบรรดาเชื้อไวรัสทั้งหลาย ในความรับรู้ ความคิด ความเห็นของบรรดานักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดแต่ละราย หรือโดย “ส่วนใหญ่” ก็ว่าได้ ต่างเห็นพ้องต้องกันไปในแนวเดียวกัน ว่าโอกาสที่จะเกิด “การระบาดระลอก 2” หรือแม้แต่ “ระลอก 3” ของเชื้อ “COVID-19” นับจากนี้ต่อไป หรือช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ก็เป็น “ข้อเท็จจริงที่มิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้” อีกเช่นกัน...
ไม่ว่าจะโดยตัวอย่าง จากประวัติศาสตร์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “Influenza” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1918 โน่นเลย ที่ทำให้ผู้คนในระดับทั่วทั้งโลกตายไปถึง 50 ล้านราย ส่วนใหญ่...ก็มาจาก “การระบาดในระลอก 2” นี่แหละที่ออกจะเอาเรื่อง คือในช่วงจังหวะที่ใครต่อใครหันมา “ผ่อนคลาย” มาตรการต่างๆ อันกลายเป็นจังหวะให้เชื้อไวรัสที่กำลัง “ปรับตัว” และ “กลายพันธุ์” สามารถฉวยโอกาสโจมตีมวลมนุษยชาติได้แบบหนักหน่วงและถนัดถนี่เอามากๆ และแม้จากตัวอย่างในปัจจุบันที่พอเห็นๆ กันอยู่ คือเมื่อเกิดการผ่อนคลายมาตรการแต่ละมาตรการ ในบรรดาประเทศที่ “เส้นกราฟ” จำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ตาย ชักค่อยๆ แบนราบลงไปเรื่อยๆ แต่สุดท้าย...ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ เกาหลีใต้ อิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่งจีน ฯลฯ จำนวนผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ ก็กลับเด้งๆ ดึ๋งๆ ขึ้นมาอีก ในจังหวะที่การผ่อนคลายเพียงแค่เริ่มๆ เท่านั้นเอง...
แต่ถ้าไม่คิดผ่อนคลาย...โอกาสที่แต่ละประเทศอาจต้อง “อดตาย” หรือ “เจ๊งตาย” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และนี่อาจทำให้ผู้นำประเทศที่ได้ชื่อว่า “สุดยอด” ในเรื่องการข่าว หรือข่าวกรอง อย่างนายกรัฐมนตรีอิสราเอล “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” โดยรายงานข่าวของ “The Times of Israel” ว่ากันว่า...ถึงขั้นออกมาสรุปรวมความให้บรรดาสมาชิกพรรครัฐบาลนึกภาพเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ด้วยคำพูดที่ว่า “มีรายงานระดับโลกที่พูดถึงการกลับมาแพร่ระบาดครั้งใหม่ของเชื้อไวรัสตัวนี้ และถ้าหากมันเป็นจริงตามนั้น นั่นก็คือ...จุดจบของมนุษยชาติ” คืออาจนำไปสู่ฉากสถานการณ์ในแบบ “scenarios of global anarchy” หรือ “อนาธิปไตยทั่วทั้งโลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น ฉากสถานการณ์ที่อาจส่งผลให้ความพยายามผนวกดินแดนเวสต์ แบงก์ หุบเขาจอร์แดน ของอิสราเอล อาจต้อง “แห้วกระป๋อง” เอาง่ายๆ อะไรทำนองนั้น...
เพราะประเทศที่อาจต้อง “อดตาย” หรือ “เจ๊งตาย” เป็นประเทศแรก...น่าจะหนีไม่พ้นไปจากมหามิตรของอิสราเอล อย่างคุณพ่ออเมริกาของเราผู้นี้...นี่เอง!!! ที่แค่เจอกับการระบาดระลอกแรก ก็แทบไปไม่เป็น จำบ้านเลขที่ไม่ได้ หาทางกลับมุมแทบไม่เจอ นอกจากจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย และผู้ตายพุ่งพรวดๆ พราดๆ ครองตำแหน่ง “จ้าวโรค” อย่างไม่มีใครคิดจะแย่งอีกต่อไปแล้ว ตัวเลข สถิติ การว่างงาน ที่สูงซะยิ่งกว่ายุค “The Great Depression” ไปแล้ว ภาวะหนี้สินของประเทศ ไม่ว่าภาครัฐบาลหรือเอกชน ที่ทำให้ “อภิมหามารดาแห่งฟองสบู่” ทำท่าว่าใกล้แตกในอีกไม่นาน-ไม่ช้า สิ่งเหล่านี้...ย่อมทำให้ผู้นำประเทศอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่โดยปกติก็ “บ้า...ก็...บ้าวะ” อยู่แล้ว เลยต้อง “บ้าไปแล้ว” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ หรือต้องหันมาผ่อนคลาย ยกเลิกมาตรการควบคุม ป้องกันต่างๆ โดยไม่คิดจะสนใจต่อ “การระบาดระลอก 2” ที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญแห่งสถาบัน “The National Institute of Allergy and Infectious Diseases” อย่าง “ดร.แอนโทนี เฟาซี” (Dr.Anthony Fauci) ผู้เข้ามาประสานงานกับทำเนียบขาวจนต้องถูกกักตัว 14 วันกันจนได้ ออกมาแสดงความไม่เห็นควรด้วยครั้งแล้ว ครั้งเล่า...
แต่ทำไงได้...ในเมื่อแต่ละประเทศ ต่างต้องเจอสภาพที่แทบไม่ได้ต่างไปจากกัน คือเกิดภาวะ “อั้นไม่อยู่” อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ได้ทำลาย “ขีดจำกัดทางเศรษฐกิจ” ของแต่ละประเทศ จนต้องเลือกเอาระหว่าง “อดตาย” หรือ “เจ๊งตาย” กับ “เป็นโรคตาย” ว่าจะเลือกตายในแบบไหนกันแน่!!! แม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็เถอะ ที่ทำให้แม้แต่ผู้รักบ้าน รักเมือง บางราย ต้องออกมากล่าวหาผู้ที่ยังกลัวๆ ต่อ “การระบาดระลอก 2” ว่าเป็นพวก “ขบวนการวัคซีนโลก” อะไรต่อมิอะไรไปโน่นเลย ด้วยเหตุเพราะกลัวการ “อดตาย” หรือ “เจ๊งตาย” มากกว่ากลัว “เป็นโรคตาย” นั่นแล...
ด้วยเหตุนี้...ถ้าจะให้ออกมาในแนว “กลางๆ” (มัชฌิมาปฏิปทา) น่าจะลองหันไปดูตัวอย่าง แบบอย่าง ของประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จมิใช่น้อย จากการรับมือกับเชื้อไวรัส “COVID-19” มาตั้งแต่แรก นั่นก็คือประเทศคุณพี่จีน ที่แม้ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ แต่ก็สามารถ “เอาอยู่” จนลดจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย ผู้ตาย จากอันดับหนึ่ง หล่นลงมาอยู่ที่อันดับ 11 จนได้ ที่เมื่อต้องเจอ “ผู้ติดเชื้อ” รอบใหม่ โผล่ขึ้นมาอีกระลอก หลังยกเลิกมาตรการควบคุม ป้องกันการแพร่ระบาดไปเมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา สิ่งที่คุณพี่จีนท่านงัดมาใช้รับมือกับ “การแพร่ระบาดระลอก 2” ก็คือ...การสั่งให้ตรวจเชื้อพลเมืองทุกๆ คน จำนวน 11 ล้านคนในเมืองอู่ฮั่น อย่างชนิดไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ในช่วงระยะเวลาประมาณ 10 วัน โดยอาศัยขีดความสามารถทางการแพทย์ อาศัยเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ตระเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดี จากประสบการณ์ในการรับมือการระบาดระลอกแรก รวมทั้งอาศัยการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรดาชาวจีนทั้งหลายหันมาปรับเปลี่ยน หันมาสร้าง “พฤติกรรมที่มีอารยธรรม” (Civilized Behavior) อันไม่เพียงแค่การให้ความสำคัญกับการกำหนด “ระยะห่างทางสังคม” หรือ “Social Distancing” การสวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้าน การล้างมือ ล้างไม้ หรือการดูแลรักษาสุขภาพตัวเองในแต่ละคน แต่ละรายเท่านั้น อารยธรรมที่ว่ายังน่าจะรวมไปถึง การสร้าง “ความพอเพียง” ให้กับตัวตนของตน ภายใต้การชี้แนะ ชี้นำตาม “หลักการ 4 ถ้วนทั่ว” ของประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่หวังสร้างสังคมจีนให้กลายเป็น “สังคมพอเพียง” บนพื้นฐานเศรษฐกิจแบบ “New Normal” หรือ “ความเป็นปกติแบบใหม่” จนกว่าจะสามารถก้าวเดินไปสู่ “อารยธรรมแห่งนิเวศ” (Ecological Civilization) ให้จงได้นั่นเอง!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าสนใจเอามากๆ คือไม่ใช่แค่ต้องเลือกระหว่าง “อดตาย” หรือ “เจ๊งตาย” กับ “เป็นโรคตาย” เท่านั้น แต่ด้วยการหันมาปรับตัว ปรับนิสัย ปรับพฤติกรรม ไม่ว่าในระดับบุคคล สังคม หรือระดับประเทศ ให้สอดคล้อง เหมาะสม ไปกับความเป็นไปของโลกและของ “ธรรมชาติ” ที่อาจช่วยให้เกิด “ทางเลือก” หรือ “ทางรอด” ใหม่ๆ อันอาจนำไปสู่ความไม่อดตาย เจ๊งตาย หรือกระทั่งเป็นโรคตาย ได้ด้วยกันทั้งสิ้น...