ปิดฉากสัปดาห์นี้...ลองหันมาว่ากันถึงเรื่อง “ความรวย” หรือ “คนรวย” เอาไว้สักหน่อย เพราะจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ซึ่งกำลังส่งผลให้ใครต่อใคร “จน” กันไปเป็นแถบๆ ทั้งว่างงาน ตกงาน ถ้าหากไม่ “ติดเชื้อ” ก็อาจถึงขั้น “ฆ่าตัวตาย” ไม่ว่าในบ้านเรา บ้านเขา ก็เถอะ ถ้าว่ากันในเรื่องของเงินๆ-ทองๆ หรือเรื่อง “เศรษฐกิจ” แล้ว ย่อมมีแต่แย่กับแย่ไปด้วยกันทั้งสิ้น แต่ภายใต้ “ความแย่...กับ...แย่” ที่ว่านี้ ที่น่าคิด น่าสังเกต และน่าสนใจ เอามากๆ ก็คือมันกลับส่งผลให้ “คนรวย” บางกลุ่ม บางประเภท ออกอาการรวยขึ้นๆ หรือรวยเอาๆ ขณะที่ใครต่อใครล้วนเหลืออยู่แค่ “มะเขือ” ไปด้วยกันทั้งนั้น...
คือ “คนรวย” ที่ว่า...คงหนีไม่พ้นไปจากบรรดา “อภิมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน” บางกลุ่ม บางเหล่านั่นเอง เช่น ประเภท “บิล เกตส์” (Bill Gates) เจ้าของและผู้ก่อตั้งบริษัท “Microsoft” หรือ “เจฟฟ์ เบซอส” (Jeff Bezos) ซีอีโอแห่งบริษัท “Amazon” เป็นต้น ไปจน “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” (Mark Zuckerberg) เจ้าของ “Facebook” ฯลฯ ยันไปถึงอภิมหาเศรษฐีที่ควบคุมดูแล บริหารกิจการประเภท “YouTube”, “Grab”, “Lazada”, “Shopee”, “Line” ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรทั้งหลาย ที่ถือเป็นกิจการซึ่งเกี่ยวข้องพัวพัน กับการติดต่อสื่อสาร การให้บริการทางอินเทอร์เน็ตที่เรียกๆ กันว่า “Over-the-top media service” หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า “OTT” อะไรประมาณนั้น...
เพราะถ้าว่ากันตามเอกสารรายงานโดยสถาบันศึกษาด้านนโยบายของอเมริกา หรือ “Institute for Policy Studies” ชิ้นล่าสุดที่เพิ่งได้รับการเผยแพร่เมื่อไม่กี่วันมานี้ ก็น่าจะพอสรุปได้ว่า...แม้ว่าระหว่างที่ “เศรษฐกิจอเมริกา” ทำท่าว่าจะตกต่ำลงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ปริมาณ “คนว่างงาน” จากจำนวนประมาณ 26 ล้านคน อาจเพิ่มขึ้นไปอีก 4.4 ล้านคน ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า อันเนื่องมาจากมาตรการทางสังคมต่างๆ ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อ “COVID-19” แต่ภายใต้สภาพบรรยากาศเช่นนี้ กลับทำให้มูลค่าหุ้น มูลค่าทรัพย์สินของบรรดาอภิมหาเศรษฐีซึ่งควบคุม ดูแล บริหารกิจการดังกล่าว กลับเพิ่มขึ้นๆ ไปอีก 282,000 ล้านดอลลาร์ ภายในช่วงระยะเวลาแค่ไม่ถึงเดือน หรือประมาณ 3 สัปดาห์ หรือแค่ 23 วันเท่านั้นเอง อันเนื่องมาจากบรรดาผู้คนที่หนีไม่พ้นต้องโซเชียล ดิสแทนซิ่ง หรือฟิซซิเคิล ดิสแทนซิ่ง กันในระดับประเทศ และในระดับโลก ต่างต้องหันมาใช้บริการ “OTT” กันอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่บ้าน (Tele-work หรือ work from home) การประชุมทางไกลแบบ “Real-time” แบบ “Interactive” การให้การรักษาพยาบาลทางไกล (Tele-Medicine) การศึกษาแบบออนไลน์ (Online Education) ไปจนการสั่งซื้อโน่น ซื้อนี่ หรือการดูหนัง-ฟังเพลง ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่...
สิ่งเหล่านี้...จึงส่งผลให้มูลค่าหุ้น มูลค่าทรัพย์สินของบรรดาอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ เลยพุ่งพรวดๆ พราดๆ หรือเลยเพิ่มมูลค่า ชนิดอุจจาระแตก-อุจจาระแตน สวนทางกับบรรดาชาวอเมริกันโดยส่วนใหญ่ และสวนทางกับเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศ แบบชนิดคนละเรื่อง คนละม้วน ยิ่งบรรดารัฐบาลในแต่ละประเทศ ต่างต้องหันไป “อัดฉีด” เพื่อกระตุ้น เพื่อเยียวยาทางเศรษฐกิจในลักษณะใดๆ ก็ตาม จำนวนปริมาณของเม็ดเงินที่มากมายมหาศาล ระดับว่ากันว่าไม่น้อยไปกว่า 71 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโลก ย่อมต้องไหลบ่า สาดซัด ซ่านกระเซ็น ผ่านช่องทาง หรือผ่านกิจกรรมและกิจการที่ว่านี้ โดยที่รัฐบาลแต่ละรัฐบาลไม่ว่ารัฐบาลอเมริกัน หรือรัฐบาลอีกหลายต่อหลายประเทศในโลกนี้ ต่างแทบไม่มีโอกาส หรือไม่ได้คุ้นเคย คุ้นชินกับการคิดจะเจียดเอามาแบ่งปันให้กับประชาชนของตัวเอง ให้กลายเป็นเงินภาษี หรือเม็ดเงินงบประมาณมากมายสักเท่าไหร่...
และภายใต้มูลค่าทรัพย์สิน หรือภายใต้ปริมาณ “ความรวย” ของบรรดาอภิมหาเศรษฐีอเมริกันเหล่านี้ ที่ว่ากันว่ารวมๆ แล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 2.95 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้โอกาสที่จะอาศัยนักกฎหมาย ล็อบบี้ยิสต์ นักการเมือง หรือกระทั่งสื่อมวลชน ฯลฯ เป็น “เครื่องมือ” ในการพิทักษ์ ปกป้อง รายได้และผลประโยชน์ของตัวเอง จึงยิ่งเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเอามากๆ หรือทำให้ “ยากส์ส์ส์” เอามากๆ ที่ใครต่อใครคิดจะไปเฉือนเนื้อ เฉือนไขมันของบรรดาอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ มาแจกจ่าย แบ่งปัน กันในหมู่ผู้ที่กำลังเดือดร้อน หรือผู้ที่ล้วนแต่จนลงๆ ชนิดแทบไม่เหลือ “มะเขือ” ติดตัวไปแล้วก็ว่าได้ อย่างที่ผู้สื่อข่าว “รอยเตอร์” “นายDado Ruvic” ได้นำเสนอเป็นรายงานข่าว เอาไว้เมื่อช่วงวันพุธ (29 เม.ย.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า ขณะที่วุฒิสมาชิกอเมริกันบางราย เช่น “นายJosh Hawley” กำลังคิดจะหยิบยกเอา “กฎหมายต่อต้านการผูกขาด” (Antitrust law) มาเล่นงานบริษัท “Amazon” และบรรดาบริษัท “E-Commerce” ทั้งหลาย ที่ทำท่าว่ากำลังพยายามหวนกลับไปผูกขาดผลประโยชน์จากกิจกรรม กิจการ ประเภทนี้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้าย...ทุกสิ่งทุกอย่างก็น่าจะเป็นไปดังที่ผู้สื่อข่าวรายนี้สรุปเป็นพาดหัวข่าวไว้นั่นแหละว่า “Amazon, Google, and Apple have moved past monopoly status to competing with government…and winning.” หรือสุดท้ายกระทั่งรัฐบาลทั้งรัฐบาล หรือกฎหมายใดๆ ก็แล้วแต่ ก็อาจ “เอาไม่อยู่” ต่ออำนาจ และอิทธิพล ของบรรดาบริษัทเหล่านี้ ที่นับวันจะมีแต่เพิ่มกับเพิ่มยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...แม้กระทั่งหน่วยงานอย่าง “CIA” หรือ “กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ” ไปจนถึง “กระทรวงกลาโหม” ฯลฯ อเมริกัน ต่างมีแต่ต้องพึ่งพาการให้บริการจากบรรดาบริษัทเหล่านี้มาโดยตลอด โอกาสที่จะสกัดกั้นการผูกขาดผลประโยชน์ หรือการแงะเอารายได้ต่างๆ มาเป็นเม็ดเงินภาษี จึงออกจะเป็นอะไรที่ “ยากส์ส์ส์” เอามากๆ พอๆ กับงัดอ้อยออกจากปากช้าง อะไรทำนองนั้น การเติบใหญ่ เติบโต ของบรรดาอภิมหาเศรษฐีในบริษัทดังกล่าว ที่เลยขอบเขตความเป็นชาติ เป็นประเทศ หรือข้ามชาติ ข้ามประเทศ ไปจนครอบคลุมโลกทั้งโลกไปแล้ว มันจึงทำให้สิ่งที่ท่านเลขาคณะกรรมการ “กสทช.” หรือคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ของบ้านเรา “คุณฐากร ตัณฑสิทธิ์” ท่านออกมาตั้งข้อสงสัย ข้อสังเกต ถึงสิ่งที่ท่านเรียกว่า “การล่าอาณานิคมยุคใหม่” ที่มีโอกาสเป็นไปได้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะภายใต้บรรยากาศที่ใครต่อใครต่างต้องเผ่นหนีเชื้อ “COVID-19” ด้วยการหันมา “กักตัวเองอยู่ภายในบ้าน” แทบจะทั้งโลกไปแล้ว ตราบเท่าทุกวันนี้ หรือต้องหันมาพึ่งพาอาศัย ต้องหันมาใช้บริการ “OTT” ไม่ว่าด้วยความสมัครใจ หรือไม่สมัครใจ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งพวง...
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าเก็บไปนั่งคิด นอนคิดเป็นการบ้าน ระหว่างการกักตัวเองเอาไว้บ้าง หรือระหว่างที่นั่งเล่นเฟซบุ๊ก เล่นไลน์ เล่นทวิตเตอร์ ฯลฯ ด้วยการบ่น การระบาย การด่าว่า ด่าทอ ใครต่อใครหรืออะไรต่อมิอะไรไปตามเรื่อง ตามราว ที่สุดท้าย...นอกจากไม่ได้เรื่อง ได้ราว ไม่ได้ช่วยให้เกิดการแก้ไข “ต้นเหตุแห่งปัญหา” อีกทั้งยังไม่ได้ช่วยให้พอรวยๆ ขึ้นมาได้มั่ง มีแต่ต้องจนแล้ว จนอีก และไม่ใช่แค่จนกันในระดับประชาชนแทบทุกหมู่เหล่า แต่แม้กระทั่งรัฐบาลทั้งรัฐบาล อาจพลอยต้องจนไปด้วย เพราะไม่ว่าจะกู้เงิน ควักเม็ดเงินภาษีของผู้คนมาอัดฉีด เยียวยา กันสักเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่บรรดาเงินเหล่านั้น...มีแต่ต้องไหลไปเข้ากระเป๋าของบรรดา “อภิมหาเศรษฐี” ระดับโลก ระดับข้ามชาติทั้งหลาย ชนิดรวยเอาๆ ขณะที่พลโลกเหลือเพียงแค่ “มะเขือ” ติดตัว คนละเม็ด สองเม็ด ไปตามสภาพ...