“เลขา สมช.” เตรียมเสนอ “บิ๊กตู่” จันทร์หน้า ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ รับสถานการณ์ยังไม่ค่อยเรียบร้อย ระบุต้องถกเอกชนหาวิธีการผ่อนปรนมาตรการ “โฆษก ศบค.” ปัดปลดล็อก 32 จังหวัดก่อน 1 พ.ค. ยันยังไม่ออกประกาศ ศบค.ห่วงคนกลับมาใช้บริการ
วานนี้ (23 เม.ย.) พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในการประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อประเมินสถานการณ์ในการประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และมาตรการข้อกำหนดต่างๆ ในช่วงการแพร่ระบากของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมในระดับเจ้าหน้าที่ เพื่อประเมินสถานการณ์และพิจารณามาตรการต่างๆ ว่า มีกิจกรรมใดบ้างที่ควรจะมีการผ่อนปรน โดยได้เชิญภาคธุรกิจมาร่วมหารือ และรับฟังความคิดเห็นเพื่อลงไปในรายละเอียดว่า หากมีการผ่อนปรนแล้วจะมีวิธีการอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ซึ่งเราจะต้องทำให้ระมัดระวังและรอบคอบมากที่สุด ก่อนนำเข้าสู่การประชุมร่วมร่วมกับ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 (ศบค.) อีกครั้งในวันที่ 27 เม.ย.นี้ ที่จะมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค.เป็นประธานการประชุม เพื่อจะสรุปว่า มีความจำเป็นต้องประกาศต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ออกไปหรือไม่ ซึ่งหากที่ประชุมเห็นสมควรว่า ต่ออายุออกไป ก็จะนำเข้าที่ประชุม ครม.อีกครั้ง ในวันที่ 28 เม.ย.นี้
“ความเห็นของหน่วยงานด้านความมั่นคง มองว่าสถานการณ์ยังไม่เรียบร้อยเท่าที่ควร จึงน่าจะต่อขยายออกไปอีก แต่จะเป็นระยะเวลาเท่าใด ขึ้นอยู่กับนายกฯเป็นผู้ประเมิน และตัดสินใจ ซึ่งจะมีการหารือร่วมกับ สภาพัฒน์ฯ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : สศช.) ในส่วนความพร้อมเพื่อเตรียมผ่อนปรนมาตรการต่อไป” พล.อ.สมศักดิ์ กล่าว
ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.กล่าวถึงกระแสข่าวว่าในวันที่ 1 พ.ค.จะมีการปลดล็อก 32 จังหวัดที่ไม่พบการติดเชื้อในระยะเฝ้าระวัง 14 วันที่ผ่านมาก่อนว่า ยังไม่ใช่ข้อมูลที่ออกจาก ศบค. เพราะนายกฯ ยืนยันแล้วว่าต้องให้มีการศึกษาชัดเจนผ่านที่ประชุม ศบค. และอนุมัติผ่าน ครม. ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการประกาศชัดเจนแต่อย่างใด
“แนวโน้มต้องยืดระยะเวลาประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ออกไปแน่นอน แต่จะมีการผ่อนปรนบ้าง ซึ่งต้องรอมติ ครม. ย้ำว่าแค่มีแนวโน้ม แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด ยังไม่ได้มีการตัดสินใจแต่อย่างใด ส่วนที่มีข้อเสนอก่อนหน้านี้จากทีมนักวิชาการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆจะต้องเป็นรูปแบบที่จะเกิดซึ่งจะต้องนำมาเสนอกัน” นพ.ทวีศิลป์ ระบุ
ผู้สื่อข่าวเป็นที่สังเกตว่ามีประชาชนใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น โดยไม่เว้นระยะห่างตามที่ได้มีการขอความร่วมมือ หลังสถานการณ์แพร่ระบาดลดลง นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง พอเห็นตัวเลขแล้วเบาใจ แต่อยากให้ทุกคนคิดไว้เสมอว่าทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก สุ่มเสี่ยงได้รับเชื้อแน่นอน ต้องป้องกันตัวเองใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ ล้างมือบ่อยๆ เมื่อสัมผัสสิ่งใด ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องไป อยู่บ้านดีที่สุด และฝากไปถึงผู้ประกอบการดูแลขนส่งมวลชนก็ต้องมีมาตรการดูแลเรื่องการเว้นระยะห่าง ไม่ให้แออัดเกินไปด้วย
ขณะที่ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีที่กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ออกประกาศจัดระเบียบสำหรับผู้ที่จะมาแจกอาหารให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนว่า รัฐบาลเข้าใจถึงความไม่สะดวกของทั้งผู้มีจิตศรัทธาและจิตอาสา รวมทั้งประชาชนที่รอรับอาหาร แต่การจัดระเบียบของกระทรวงมหาดไทย และ กทม. ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนที่เข้ามารับสิ่งของอยู่ใกล้ชิดกันเกินไป เว้นระยะห่างทางสังคม SOCIAL DISTANCING เพราะห่วงใยประชาชนไม่ต้องการให้เกิดการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ในกรณีที่มีประชาชนมารวมตัวกันใกล้ๆ เป็นจำนวนมาก อยากให้นักการเมืองบางคนเข้าใจเจตนาที่ภาครัฐดำเนินการอยู่ อย่ามองเพียงแค่ประเด็นทางการเมือง
วานนี้ (23 เม.ย.) พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในการประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อประเมินสถานการณ์ในการประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และมาตรการข้อกำหนดต่างๆ ในช่วงการแพร่ระบากของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมในระดับเจ้าหน้าที่ เพื่อประเมินสถานการณ์และพิจารณามาตรการต่างๆ ว่า มีกิจกรรมใดบ้างที่ควรจะมีการผ่อนปรน โดยได้เชิญภาคธุรกิจมาร่วมหารือ และรับฟังความคิดเห็นเพื่อลงไปในรายละเอียดว่า หากมีการผ่อนปรนแล้วจะมีวิธีการอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ซึ่งเราจะต้องทำให้ระมัดระวังและรอบคอบมากที่สุด ก่อนนำเข้าสู่การประชุมร่วมร่วมกับ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 (ศบค.) อีกครั้งในวันที่ 27 เม.ย.นี้ ที่จะมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค.เป็นประธานการประชุม เพื่อจะสรุปว่า มีความจำเป็นต้องประกาศต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ออกไปหรือไม่ ซึ่งหากที่ประชุมเห็นสมควรว่า ต่ออายุออกไป ก็จะนำเข้าที่ประชุม ครม.อีกครั้ง ในวันที่ 28 เม.ย.นี้
“ความเห็นของหน่วยงานด้านความมั่นคง มองว่าสถานการณ์ยังไม่เรียบร้อยเท่าที่ควร จึงน่าจะต่อขยายออกไปอีก แต่จะเป็นระยะเวลาเท่าใด ขึ้นอยู่กับนายกฯเป็นผู้ประเมิน และตัดสินใจ ซึ่งจะมีการหารือร่วมกับ สภาพัฒน์ฯ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : สศช.) ในส่วนความพร้อมเพื่อเตรียมผ่อนปรนมาตรการต่อไป” พล.อ.สมศักดิ์ กล่าว
ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.กล่าวถึงกระแสข่าวว่าในวันที่ 1 พ.ค.จะมีการปลดล็อก 32 จังหวัดที่ไม่พบการติดเชื้อในระยะเฝ้าระวัง 14 วันที่ผ่านมาก่อนว่า ยังไม่ใช่ข้อมูลที่ออกจาก ศบค. เพราะนายกฯ ยืนยันแล้วว่าต้องให้มีการศึกษาชัดเจนผ่านที่ประชุม ศบค. และอนุมัติผ่าน ครม. ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการประกาศชัดเจนแต่อย่างใด
“แนวโน้มต้องยืดระยะเวลาประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ออกไปแน่นอน แต่จะมีการผ่อนปรนบ้าง ซึ่งต้องรอมติ ครม. ย้ำว่าแค่มีแนวโน้ม แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด ยังไม่ได้มีการตัดสินใจแต่อย่างใด ส่วนที่มีข้อเสนอก่อนหน้านี้จากทีมนักวิชาการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆจะต้องเป็นรูปแบบที่จะเกิดซึ่งจะต้องนำมาเสนอกัน” นพ.ทวีศิลป์ ระบุ
ผู้สื่อข่าวเป็นที่สังเกตว่ามีประชาชนใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น โดยไม่เว้นระยะห่างตามที่ได้มีการขอความร่วมมือ หลังสถานการณ์แพร่ระบาดลดลง นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง พอเห็นตัวเลขแล้วเบาใจ แต่อยากให้ทุกคนคิดไว้เสมอว่าทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก สุ่มเสี่ยงได้รับเชื้อแน่นอน ต้องป้องกันตัวเองใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ ล้างมือบ่อยๆ เมื่อสัมผัสสิ่งใด ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องไป อยู่บ้านดีที่สุด และฝากไปถึงผู้ประกอบการดูแลขนส่งมวลชนก็ต้องมีมาตรการดูแลเรื่องการเว้นระยะห่าง ไม่ให้แออัดเกินไปด้วย
ขณะที่ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีที่กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร ออกประกาศจัดระเบียบสำหรับผู้ที่จะมาแจกอาหารให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนว่า รัฐบาลเข้าใจถึงความไม่สะดวกของทั้งผู้มีจิตศรัทธาและจิตอาสา รวมทั้งประชาชนที่รอรับอาหาร แต่การจัดระเบียบของกระทรวงมหาดไทย และ กทม. ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนที่เข้ามารับสิ่งของอยู่ใกล้ชิดกันเกินไป เว้นระยะห่างทางสังคม SOCIAL DISTANCING เพราะห่วงใยประชาชนไม่ต้องการให้เกิดการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ในกรณีที่มีประชาชนมารวมตัวกันใกล้ๆ เป็นจำนวนมาก อยากให้นักการเมืองบางคนเข้าใจเจตนาที่ภาครัฐดำเนินการอยู่ อย่ามองเพียงแค่ประเด็นทางการเมือง