ผู้จัดการรายวัน 360 - นายก อบต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ ลงนามสั่ง “บักตี๋” ลูกชายรองประธานสภาออกจากลูกจ้างชั่วคราวแล้ว หลังมติที่ประชุมท้องถิ่นจังหวัดเห็นพ้องกระทำผิดวินัยร้ายแรง ทำองค์กรเสียหาย ทั้งศาลสั่งดำเนินคดีทำขาดคุณสมบัติ ด้านพ่อพยายามรั้งให้ลูกชายอยู่ต่อ แต่สุดท้ายจำนนต่อความผิด
จากกรณีข่าวฉาวแชร์กันว่อนโซเชียล นายเอมภิราช แสนสมัคร หรือตี๋ ลูกชายรองประธานสภา อบต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมกับพรรคพวกรวม 6 คนโพสต์เฟซบุ๊กขณะตั้งวงดื่มเหล้าเล่นน้ำสงกรานต์ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อมาศาลจังหวัดร้อยเอ็ดได้สั่งลงโทษจำคุก นายเอมภิราช 15 วัน ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี ส่วนผู้ต้องหาที่ 2-5 จำคุก 3 เดือน 15 วัน ปรับ 10,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี คุมประพฤติ 1 ปี
ล่าสุด รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า นายเอมภิราช ได้ถูกสั่งให้ออกจากงานลูกจ้างชั่วคราวของ อบต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ เป็นที่เรียบร้อย มีผลตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา
นายณรงค์ พฤกษชาติ ปลัดอําเภอเสลภูมิ เปิดเผยว่า กรณีการสั่งให้ออกหรือเลิกจ้าง นายเอมภิราช ลูกชายรองประธานสภา อบต.โพธิ์ทอง เป็นไปตามมติ ที่มีฝ่ายปกครองจากจังหวัดร่วมประชุมกับท้องถิ่นและปกครองอำเภอเสลภูมิ ซึ่งได้มีการเรียกรองประธานสภา อบต. มาพบเพื่อแจ้งมติที่ประชุมให้ทราบเรียบร้อยแล้ว โดยที่ประชุมมีมติให้เลิกจ้างเอมภิราช หรือให้ออกจากการเป็นพนักงานจ้างชั่วคราวของ อบต.ทันที เนื่องจากมีพฤติกรรมกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง แม้ตัวรองประธานสภาจะคัดค้านไม่เห็นด้วย แต่ในที่ประชุมยืนยันผู้ก่อเหตุมีการกระทำความผิดร้ายแรง และมีคำพิพากษาจากกระบวนการยุติธรรมแล้วว่ามีความผิด ถือว่าไม่สามารถทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่พนักงานจ้างได้อีกต่อไป จนกระทั่งรองประธานสภา อบต.ผู้เป็นพ่อต้องยอมจำนนต่อความผิดของลูกชาย
ด้าน นายชุมพล มาโยธา นายก อบต.โพธิ์ทอง เปิดเผยว่า กรณีปัญหาที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ อบต.โพธิ์ทองได้ทำบันทึกรายงานตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา รวมทั้งมีหนังสือสั่งการจากมติที่ประชุมผู้ปกครองอำเภอ รวมทั้งศาลได้ตัดสินลงโทษผู้กระทำความผิดไปแล้ว เห็นว่าเป็นเรื่องก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย กระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรและมีความประพฤติไม่เป็นไปตามสัญญาตามที่ให้ไว้กับ อบต. โดยตนได้ลงนามคำสั่งตามที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น อบต.เสนอเห็นชอบให้เลิกจ้างนายเอมภิราช
โดยตนได้ลงนามไปแล้วตั้งแต่เมื่อบ่ายวานนี้ แจ้งไปยังเจ้าตัวให้รับทราบ ซึ่งต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น. ผู้เป็นพ่อ หรือรองประธานสภา ได้นำตัวลูกชายซึ่งเป็นต้นเหตุมาพบ และได้มายื่นหนังสือลาออกจากการเป็นพนักงานจ้างแล้ว โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ ไม่อยากให้องค์กรเสียหายจากเหตุการณ์และการกระทำของตนเองที่ทำให้เสื่อมเสียอย่างร้ายแรง
จากกรณีข่าวฉาวแชร์กันว่อนโซเชียล นายเอมภิราช แสนสมัคร หรือตี๋ ลูกชายรองประธานสภา อบต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมกับพรรคพวกรวม 6 คนโพสต์เฟซบุ๊กขณะตั้งวงดื่มเหล้าเล่นน้ำสงกรานต์ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อมาศาลจังหวัดร้อยเอ็ดได้สั่งลงโทษจำคุก นายเอมภิราช 15 วัน ปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี ส่วนผู้ต้องหาที่ 2-5 จำคุก 3 เดือน 15 วัน ปรับ 10,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี คุมประพฤติ 1 ปี
ล่าสุด รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า นายเอมภิราช ได้ถูกสั่งให้ออกจากงานลูกจ้างชั่วคราวของ อบต.โพธิ์ทอง อ.เสลภูมิ เป็นที่เรียบร้อย มีผลตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา
นายณรงค์ พฤกษชาติ ปลัดอําเภอเสลภูมิ เปิดเผยว่า กรณีการสั่งให้ออกหรือเลิกจ้าง นายเอมภิราช ลูกชายรองประธานสภา อบต.โพธิ์ทอง เป็นไปตามมติ ที่มีฝ่ายปกครองจากจังหวัดร่วมประชุมกับท้องถิ่นและปกครองอำเภอเสลภูมิ ซึ่งได้มีการเรียกรองประธานสภา อบต. มาพบเพื่อแจ้งมติที่ประชุมให้ทราบเรียบร้อยแล้ว โดยที่ประชุมมีมติให้เลิกจ้างเอมภิราช หรือให้ออกจากการเป็นพนักงานจ้างชั่วคราวของ อบต.ทันที เนื่องจากมีพฤติกรรมกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง แม้ตัวรองประธานสภาจะคัดค้านไม่เห็นด้วย แต่ในที่ประชุมยืนยันผู้ก่อเหตุมีการกระทำความผิดร้ายแรง และมีคำพิพากษาจากกระบวนการยุติธรรมแล้วว่ามีความผิด ถือว่าไม่สามารถทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่พนักงานจ้างได้อีกต่อไป จนกระทั่งรองประธานสภา อบต.ผู้เป็นพ่อต้องยอมจำนนต่อความผิดของลูกชาย
ด้าน นายชุมพล มาโยธา นายก อบต.โพธิ์ทอง เปิดเผยว่า กรณีปัญหาที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ อบต.โพธิ์ทองได้ทำบันทึกรายงานตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา รวมทั้งมีหนังสือสั่งการจากมติที่ประชุมผู้ปกครองอำเภอ รวมทั้งศาลได้ตัดสินลงโทษผู้กระทำความผิดไปแล้ว เห็นว่าเป็นเรื่องก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย กระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรและมีความประพฤติไม่เป็นไปตามสัญญาตามที่ให้ไว้กับ อบต. โดยตนได้ลงนามคำสั่งตามที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น อบต.เสนอเห็นชอบให้เลิกจ้างนายเอมภิราช
โดยตนได้ลงนามไปแล้วตั้งแต่เมื่อบ่ายวานนี้ แจ้งไปยังเจ้าตัวให้รับทราบ ซึ่งต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น. ผู้เป็นพ่อ หรือรองประธานสภา ได้นำตัวลูกชายซึ่งเป็นต้นเหตุมาพบ และได้มายื่นหนังสือลาออกจากการเป็นพนักงานจ้างแล้ว โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ ไม่อยากให้องค์กรเสียหายจากเหตุการณ์และการกระทำของตนเองที่ทำให้เสื่อมเสียอย่างร้ายแรง
