** เชื่อว่าเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนคงหงุดหงิดกับภาพความวุ่นวายที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากมีคนไทยจำนวนกว่าร้อยห้าสิบคน เดินทางมาจากต่างประเทศ ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่นำไปกักตัวควบคุมโรคตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข บางคนถึงขั้นด่าว่าประเทศตัวเอง “กระจอก”ก็มี ทั้งที่จะว่าไปแล้ว คนพวกนี้ก็คือ“หลบหนี”มาจากต่างประเทศ ทั้งใน “นิวยอร์ค”สหรัฐอเมริกา ที่กำลังเป็นแหล่งระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ “โควิด-19” มาจากอังกฤษ มาจากญี่ปุ่น หรือแม้แต่สิงคโปร์
ซึ่งก็ได้ผล โดนคนทั้งประเทศ“ด่ายับ”จนต้องเงียบเสียง ขณะเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่ก็สามารถระดมกำลังกันไปควบคุมตัวมากักกันโรคได้ครบหมดทุกคน ก็ถือว่าผ่านไป แต่ก็ต้องลุ้นกันว่า บรรดาญาติพี่น้อง พ่อแม่ คนในครอบครัวที่สัมผัสกับผู้เดินทางดังกล่าว จะมีใครเป็นผู้ป่วยติดเชื้อตามมาบ้างหรือไม่ เพราะมีรายงานว่า ในจำนวนนั้นมีบุคคลที่ “มีไข้ขึ้นสูงอยู 3 ราย”ต้องรอผลการตรวจก่อน
ขณะเดียวกัน จากข้อมูลที่แถลงล่าสุดของ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุเมื่อ วันที่ 4 เมษายนว่า จำนวนผู้ป่วยใหม่ในประเทศไทยเกือบ 1 ใน 4 เป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ ซึ่งก็ถือว่าคนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ก็คือคนในครอบครัวของเขาเองนั่นแหละ
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากตัวเลขประจำวันที่แถลงโดย นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เมื่อวันที่ 5 เมษายน ว่า ตัวเลขผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ในประเทศไทย โดยมีผู้ป่วยรายใหม่อีก 102 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 2,169 ราย รักษาหายรวม 674 ราย เสียชีวิตรวม 23 ราย
**“จากข้อมูลช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ใครกลับจากประเทศแล้วคุมได้ไม่ดี เพียงแค่ 1-2 คน ก็จะกระจายและเกิด "ซูเปอร์ สเปรดเดอร์"ได้ ดังนั้น 158 คน ที่กลับมาแล้วเข้ารับการกักตัว ต้องขอบคุณมาก จากตัวเลขจะเห็นว่าคนไทยกลับจากต่างประเทศป่วยถึง 249 คน แม้จะบอกว่าตัวเองแข็งแรงแล้ว วัดไข้แล้ว ได้ใบรับรองแพทย์แล้ว จะเอาอะไรกันนักหนา แต่สิ่งนี้เป็นมติทางการแพทย์ ยืนยันแม้กักตัวก่อนกลับมา 14 วัน เพื่อความมั่นใจ แม้จะบอกว่าแข็งแรง แต่ก็มีผู้เสียชีวิต” นพ.ทวีศิลป์ ระบุ
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาสถานการณ์โรคระบาดในประเทศสหรัฐอเมริกา จนถึงวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา ถือว่ายังเลวร้ายเข้าขั้นวิกฤตแล้วโดยยอดผู้ติดเชื้อล่าสุด อยู่ที่จำนวน 311,544 คน มียอดผู้เสียชีวิตรวม 8,488 คน โดยนิวยอร์ก ยังเป็นศูนย์กลางแพร่ระบาดของโรคมาอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าการแพร่ระบาดยังไม่ถึงจุดสูงสุด โดยคาดว่าภายในกลางเดือนเมษายน และต่อเนื่องไปถึงปลายเดือนเดียวกัน คาดว่าการแพร่ระบาดจะขึ้นไปถึงขีดสุด โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ออกมาเตือนชาวอเมริกันให้เตรียมรับมือ และเตรียมความพร้อมสำหรับการเสียชีวิตจำนวนมากในสัปดาห์นี้ และในสัปดาห์หน้า
แน่นอนว่า เมื่อได้เห็นตัวเลขดังกล่าวสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่หลายประเทศในยุโรป ไม่ว่าจะเป็น อิตาลี สเปน และที่มาแรงคือฝรั่งเศส และอังกฤษ ที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อยังพุ่งพรวด แม้ว่าบางประเทศจะเข้าสู่ภาวะทรงตัว และเริ่มลดลงช้าๆ เช่นที่ สเปน แต่ถือว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตยังเป็นหลักร้อย ย่อมถือว่าน่าเศร้า
**อย่างไรก็ดี หากโฟกัสไปที่สหรัฐอเมริกา นาทีนี้ถือว่าเข้าขั้น “หายนะ”กันแล้ว ในเมื่อผู้ติดเชื้อเวลานี้ “ทะลุสามแสนราย”เข้าไปแล้ว และหากบอกว่าภายในสัปดาห์นี้ ไปจนถึงกลางเดือนนี้ จะมียอดผู้เสียชีวิตอีกเป็นจำนวนมาก ในความหมายก็คือ “จะตายเป็นเบือ”ตามที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวเตือนเอาไว้ล่วงหน้า ให้ชาวอเมริกันได้เตรียมรับเอาไว้ เหมือนกับให้ทำใจไว้ล่วงหน้า
ขณะเดียวกัน เมื่อได้เห็นตัวเลขแบบนี้ อีกด้านหนึ่งมันก็ย่อมหมายถึงหายนะของสหรัฐฯ และ “หายนะของทรัมป์”อย่างแน่นอน ซึ่งในเรื่องของเศรษฐกิจนั้นไม่ต้องพูดถึง จบเห่เหมือนกันทั้งโลก และสำหรับสหรัฐฯ อาจจะล้มหนักกว่าใครเพราะ “ตัวใหญ่” ทุกอย่างกำลังจะได้เห็น แต่ที่มาคู่กันก็คืออย่างหลัง คือ ทรัมป์ คงไม่ได้ไปต่อ ในการเลือกตั้งเพื่อหวังจะได้เป็นผู้นำสมัยที่สอง เพราะโรคระบาดโควิด-19 นั่นเอง และจะว่าไปแล้วทุกอย่างที่เลวร้ายเข้าขั้นวิกฤตอยู่ในเวลานี้ ส่วนสำคัญต้นเหตุมาจากเขานั่นแหละ เพราะ“ดูเบา”
**หากจำกันได้ ในช่วงระบาดตอนแรกๆ หรือแม้แต่การระบาดในจีน เขาก็ออกมากล่าวแบบไม่ใยดี ไม่สนใจป้องกัน ไม่เตรียมรับมือ มีแต่ “เหยียดหยาม” ดูถูก ตำหนิ ตอกย้ำว่า “ไวรัสจีน”แต่มาถึงวันนี้ ถือว่า “สายไปแล้ว”ทุกอย่างเกินต้านทานแล้ว เพราะโอกาสที่คนอเมริกันจะตายเป็นแสน หรือสองแสนคนตามที่ โดนัลด์ ทรัมป์ พูดไว้ ก็น่าจะเป็นไปได้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า !!
ซึ่งก็ได้ผล โดนคนทั้งประเทศ“ด่ายับ”จนต้องเงียบเสียง ขณะเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่ก็สามารถระดมกำลังกันไปควบคุมตัวมากักกันโรคได้ครบหมดทุกคน ก็ถือว่าผ่านไป แต่ก็ต้องลุ้นกันว่า บรรดาญาติพี่น้อง พ่อแม่ คนในครอบครัวที่สัมผัสกับผู้เดินทางดังกล่าว จะมีใครเป็นผู้ป่วยติดเชื้อตามมาบ้างหรือไม่ เพราะมีรายงานว่า ในจำนวนนั้นมีบุคคลที่ “มีไข้ขึ้นสูงอยู 3 ราย”ต้องรอผลการตรวจก่อน
ขณะเดียวกัน จากข้อมูลที่แถลงล่าสุดของ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุเมื่อ วันที่ 4 เมษายนว่า จำนวนผู้ป่วยใหม่ในประเทศไทยเกือบ 1 ใน 4 เป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ ซึ่งก็ถือว่าคนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ก็คือคนในครอบครัวของเขาเองนั่นแหละ
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากตัวเลขประจำวันที่แถลงโดย นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เมื่อวันที่ 5 เมษายน ว่า ตัวเลขผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ในประเทศไทย โดยมีผู้ป่วยรายใหม่อีก 102 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 2,169 ราย รักษาหายรวม 674 ราย เสียชีวิตรวม 23 ราย
**“จากข้อมูลช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ใครกลับจากประเทศแล้วคุมได้ไม่ดี เพียงแค่ 1-2 คน ก็จะกระจายและเกิด "ซูเปอร์ สเปรดเดอร์"ได้ ดังนั้น 158 คน ที่กลับมาแล้วเข้ารับการกักตัว ต้องขอบคุณมาก จากตัวเลขจะเห็นว่าคนไทยกลับจากต่างประเทศป่วยถึง 249 คน แม้จะบอกว่าตัวเองแข็งแรงแล้ว วัดไข้แล้ว ได้ใบรับรองแพทย์แล้ว จะเอาอะไรกันนักหนา แต่สิ่งนี้เป็นมติทางการแพทย์ ยืนยันแม้กักตัวก่อนกลับมา 14 วัน เพื่อความมั่นใจ แม้จะบอกว่าแข็งแรง แต่ก็มีผู้เสียชีวิต” นพ.ทวีศิลป์ ระบุ
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาสถานการณ์โรคระบาดในประเทศสหรัฐอเมริกา จนถึงวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา ถือว่ายังเลวร้ายเข้าขั้นวิกฤตแล้วโดยยอดผู้ติดเชื้อล่าสุด อยู่ที่จำนวน 311,544 คน มียอดผู้เสียชีวิตรวม 8,488 คน โดยนิวยอร์ก ยังเป็นศูนย์กลางแพร่ระบาดของโรคมาอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าการแพร่ระบาดยังไม่ถึงจุดสูงสุด โดยคาดว่าภายในกลางเดือนเมษายน และต่อเนื่องไปถึงปลายเดือนเดียวกัน คาดว่าการแพร่ระบาดจะขึ้นไปถึงขีดสุด โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ออกมาเตือนชาวอเมริกันให้เตรียมรับมือ และเตรียมความพร้อมสำหรับการเสียชีวิตจำนวนมากในสัปดาห์นี้ และในสัปดาห์หน้า
แน่นอนว่า เมื่อได้เห็นตัวเลขดังกล่าวสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่หลายประเทศในยุโรป ไม่ว่าจะเป็น อิตาลี สเปน และที่มาแรงคือฝรั่งเศส และอังกฤษ ที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อยังพุ่งพรวด แม้ว่าบางประเทศจะเข้าสู่ภาวะทรงตัว และเริ่มลดลงช้าๆ เช่นที่ สเปน แต่ถือว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตยังเป็นหลักร้อย ย่อมถือว่าน่าเศร้า
**อย่างไรก็ดี หากโฟกัสไปที่สหรัฐอเมริกา นาทีนี้ถือว่าเข้าขั้น “หายนะ”กันแล้ว ในเมื่อผู้ติดเชื้อเวลานี้ “ทะลุสามแสนราย”เข้าไปแล้ว และหากบอกว่าภายในสัปดาห์นี้ ไปจนถึงกลางเดือนนี้ จะมียอดผู้เสียชีวิตอีกเป็นจำนวนมาก ในความหมายก็คือ “จะตายเป็นเบือ”ตามที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวเตือนเอาไว้ล่วงหน้า ให้ชาวอเมริกันได้เตรียมรับเอาไว้ เหมือนกับให้ทำใจไว้ล่วงหน้า
ขณะเดียวกัน เมื่อได้เห็นตัวเลขแบบนี้ อีกด้านหนึ่งมันก็ย่อมหมายถึงหายนะของสหรัฐฯ และ “หายนะของทรัมป์”อย่างแน่นอน ซึ่งในเรื่องของเศรษฐกิจนั้นไม่ต้องพูดถึง จบเห่เหมือนกันทั้งโลก และสำหรับสหรัฐฯ อาจจะล้มหนักกว่าใครเพราะ “ตัวใหญ่” ทุกอย่างกำลังจะได้เห็น แต่ที่มาคู่กันก็คืออย่างหลัง คือ ทรัมป์ คงไม่ได้ไปต่อ ในการเลือกตั้งเพื่อหวังจะได้เป็นผู้นำสมัยที่สอง เพราะโรคระบาดโควิด-19 นั่นเอง และจะว่าไปแล้วทุกอย่างที่เลวร้ายเข้าขั้นวิกฤตอยู่ในเวลานี้ ส่วนสำคัญต้นเหตุมาจากเขานั่นแหละ เพราะ“ดูเบา”
**หากจำกันได้ ในช่วงระบาดตอนแรกๆ หรือแม้แต่การระบาดในจีน เขาก็ออกมากล่าวแบบไม่ใยดี ไม่สนใจป้องกัน ไม่เตรียมรับมือ มีแต่ “เหยียดหยาม” ดูถูก ตำหนิ ตอกย้ำว่า “ไวรัสจีน”แต่มาถึงวันนี้ ถือว่า “สายไปแล้ว”ทุกอย่างเกินต้านทานแล้ว เพราะโอกาสที่คนอเมริกันจะตายเป็นแสน หรือสองแสนคนตามที่ โดนัลด์ ทรัมป์ พูดไว้ ก็น่าจะเป็นไปได้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า !!