**ต้องบอกว่า น่าตื่นตะลึงจริงสำหรับยอดผู้เสียชีวิตและยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันใหม่ โควิด-19 ที่ตอนนี้หากพิจารณาตัวเลขเฉพาะยุโรปและสหรัฐอเมริกา มียอดผู้ติดเชื้อในบางประเทศไล่เรียงลงมาตั้งแต่ อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน หรือแม้แต่สวิสเซอร์แลนด์ ล้วนมีผู้ติดเชื้อเป็นหลักหลายหมื่น ใกล้แตะหลักแสน แล้วไล่ลงมาเป็นหลักหมื่น
ที่น่าตกใจคือ ประเทศอิตาลี ที่มียอดผู้เสียชีวิตบางวันสูงขึ้นถึงเฉียดหลักพัน หรือ สเปน ที่มีคนเสียชีวิตวันเดียวกว่าแปดร้อยคน ทำให้สองสามประเทศดังกล่าว มีผู้เสียชิวิตมากที่สุดในโลก แซงหน้าประเทศจีนไปหลายเท่าตัวแล้ว โดยเฉพาะอิตาลี มียอดผู้เสียชีวิตล่าสุดทะลุ “หมื่นคน”คนแล้ว และประเทศสเปน ก็กำลังตามมาติดๆ แม้ว่าทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะให้ข้อมูลในแง่บวกออกมาว่า ทั้งอิตาลี และสเปน ผู้ติดเชื้ออยู่ในภาวะที่ “พีค”สุดแล้ว และจะค่อยๆมีตัวเลข ลดลงก็ตาม
แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งเมื่อหันมามองตัวเลขของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ล่าสุดมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว “ทะลุหลักแสน”คนเข้าไปแล้ว และมีคนเสียชีวิตใกล้แตะสองพันคนเข้าไปแล้ว และที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ การระบาดใหญ่ที่นี่ “เพิ่งเริ่มต้น”เท่านั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ชี้ว่า “การระบาดใหญ่จะมีให้เห็นภายในสองสามสัปดาห์ข้างหน้า”โดยเวลานี้ศูนย์กลางการแพร่ระบาดใหญ่อยู่ที่ รัฐนิวยอร์ค โดยยังมีแนวโน้มระบาดอย่างหนักต่อไปในอีกไม่นานข้างหน้านี้
พิจารณาจากตัวเลขผู้เสียชีวิตจากสำนักข่าวต่างประเทศรวบรวมมาล่าสุด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม เฉพาะประเทศอิตาลี มีผู้เสียชีวิตล่าสุดถึง 10,023 คน ส่วนสหรัฐฯ มียอดผู้ติดเชื้อล่าสุดถึง 124,665 คน มียอดผู้เสียชีวิตถึง 2,191 คน และหากรวมยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกมี 30,848 คน มียอดผู้ติดเชื้อ 664,924 คน
โดยสหรัฐฯ มียอดผู้ติดเชื้อสูงที่สุดในโลก และตามมาติดๆ ด้วยอิตาลี แต่ที่นี่มียอดผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก ส่วนผู้เสียชีวิตมากอันดันสอง คือ สเปน ส่วนจีน มียอดผู้ติดเชื้อ ล่าสุดตกลงมาเป็นอันดันสามของโลก รวมทั้งยอดผู้เสียชีวิต ก็อันดับลดลง เมื่อเทียบกับแนวโน้มในประเทศแถบยุโรปดังกล่าว รวมทั้งที่ประเทศอิหร่าน ที่มียอดผู้เสียชีวิตยังพุ่งพรวดอยู่ในเวลานี้
สำหรับประเทศไทย ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม มีผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 143 ราย มีคนตายเพิ่มอีก 1 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 1,388 ราย และเสียชีวิตรวม 7 ราย
เมื่อพิจารณาจากตัวเลขผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิต เปรียบเทียบกันระหว่าง ยุโรป อเมริกา กับทวีปเอเชีย ที่มีจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จนมาถึงประเทศในแถบอาเซียน ที่รวม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เข้าไปจะพบว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่ได้เพิ่มในแบบทวีคูณ แบบประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา เพราะเมื่อดูจากประเทศที่เคยแพร่ระบาดหนักๆ เริ่มจากจีน ที่ในเวลานี้มีการควบคุมการแพร่ระบาดได้แล้ว การระบาดในประเทศแทบจะไม่มีแล้ว ยกเว้นเชื้อที่มาจากคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และล่าสุด จีนก็สั่งห้ามเดินทางเข้าประเทศโดยสิ้นเชิงแล้ว รวมไปถึงเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ที่ตัวเลขเริ่มทรงตัว
หรือแม้แต่ สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย ที่มีการระบุว่า หากไม่มีผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการร่วมทำกิจกรรมทางศาสนาในมาเลเซียภายในอีกวันสองวัน ก็ถือว่า “จบ”สำหรับประเทศไทยยังเหลือกรณีจาก “กลุ่มสนามมวย”ที่ต้องควบคุมกันต่อไป แต่ก็มีการให้ข้อมูลว่า แนวโน้มกำลังจะผ่านจุด “พีค”สุดไปแล้ว แต่ต้องจับตาในพื้นที่ต่างจังหวัดที่กำลังแพร่กระจายออกไป แต่หากมีการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ที่มีทั้งการ “ขู่”และเร่งสร้างจิตสำนึกให้มากขึ้น ไม่ให้ออกนอกบ้านก็น่าจะเริ่มควบคุมได้ หลังจากนี้อีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า
**อย่างไรก็ดี ทุกอย่างโดยเฉพาะตัวเลขดังกล่าวสามารถพลิกผันกลับมาได้ตลอดเวลา จากบวกกลายเป็นลบ หรือตรงกันข้าม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความร่วมมือของประชาชนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการมี “จิตสำนึก”ของชาวบ้านว่าต้องการทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อครอบครัว และเพื่อชาติมากน้อยแค่ไหน หากมีคนส่วนมากให้ความร่วมมือดี ทำตามคำแนะนำของแพทย์ก็ย่อมผ่านไปได้
ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องพิจารณากันแบบตั้งข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความเชื่อและทัศนคติของคนในสองทวีป ที่แตกต่างกัน นั่นคือ ระหว่างคนในเอเชียกับยุโรป และอเมริกา โดยเฉพาะในเรื่องการ “สวมหน้ากากอมนามัย”ที่ต่างกันแบบตรงกันข้าม เพราะทางแถบเอเชีย ทั้งจีน ญี่ปุ่น รวมทั้งเกาหลีใต้ ที่ต้องสวมหน้ากากเพื่อป้องกันการติดเชื้อ แต่ประเทศทางฝั่งโน้นมองไปอีกแบบ นั่นคนที่สวมหน้ากากอนามัยคือคนป่วยเท่านั้น คนไม่ป่วยไม่จำเป็นต้องสวม จนหลายครั้งจะได้เห็นการปฏิบัติกับคนเอเชียด้วยการเหยียดหยาม หรือถูกทำร้าย เพียงเพราะคนเอเซียคนนั้นสวมหน้ากากอนามัย ถูกมองว่าเป็นคนป่วย ถูกรังเกียจ
สำหรับคนเอเชียที่ผ่านมาเกิดโรคระบาดทั้ง ซาร์ ไข้หวัดนก ที่มาจากเชื้อไวรัส ทำให้มีประสบการณ์การสวมหน้ากากป้องกันมานานแล้ว มาคราวนี้บางประเทศจึงออกคำสั่งเข้มงวด ให้ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย และเมื่อพิจารณาจากเชื้อ “โควิด19”ที่เชื้อไวรัส มีการฟักตัวถึง 14 วัน ยังไม่แสดงอาการ ทำให้เกิดการแพรระบาดได้ง่าย ทำให้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดขนานใหญ่ในยุโรปและอเมริกา ในเวลานี้
นอกเหนือจากนี้ ในประเทศแถบนั้น ยังเชื่อเรื่อง “เสรีภาพ”ส่วนบุคคลที่ต้องมาก่อน ก็ทำให้มาตรการ “บังคับ”ทำได้ยาก และมักไม่ได้รับความร่วมมือ เหมือนกับที่เกิดขึ้นใน อิตาลี และสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่อังกฤษ จนถึงขั้นที่มีผู้บริหาร เช่น นายกเทศมนตรี บางเมืองออกมาก่นด่าประชาชนในเมืองของตัวเอง ที่ไม่ใส่ใจกับคำสั่งห้ามออกนอกบ้าน หรือการรวมกลุ่ม
ดังนั้นเชื่อว่า หากไม่เปลี่ยนทัศนคติและความเชื่อดังกล่าวออกมาในช่วงสถานการณ์โรคระบาดในช่วงนี้ เชื่อว่ายอดการติดเชื้อจะยังหนักหน่วงไปอีกนาน ขณะที่ประเทศในแถบเอเชีย ที่มีจีนเป็นตัวอย่างในการเข้มงวดแบบ “จัดหนัก”ก็ได้ผล หรือแม้แต่ประเทศไทย ก็อาจถึงขั้น “ปิดเมือง”ก็ได้ หากยังไม่ร่วมมือดีพอ !!
ที่น่าตกใจคือ ประเทศอิตาลี ที่มียอดผู้เสียชีวิตบางวันสูงขึ้นถึงเฉียดหลักพัน หรือ สเปน ที่มีคนเสียชีวิตวันเดียวกว่าแปดร้อยคน ทำให้สองสามประเทศดังกล่าว มีผู้เสียชิวิตมากที่สุดในโลก แซงหน้าประเทศจีนไปหลายเท่าตัวแล้ว โดยเฉพาะอิตาลี มียอดผู้เสียชีวิตล่าสุดทะลุ “หมื่นคน”คนแล้ว และประเทศสเปน ก็กำลังตามมาติดๆ แม้ว่าทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะให้ข้อมูลในแง่บวกออกมาว่า ทั้งอิตาลี และสเปน ผู้ติดเชื้ออยู่ในภาวะที่ “พีค”สุดแล้ว และจะค่อยๆมีตัวเลข ลดลงก็ตาม
แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งเมื่อหันมามองตัวเลขของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ล่าสุดมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว “ทะลุหลักแสน”คนเข้าไปแล้ว และมีคนเสียชีวิตใกล้แตะสองพันคนเข้าไปแล้ว และที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ การระบาดใหญ่ที่นี่ “เพิ่งเริ่มต้น”เท่านั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ชี้ว่า “การระบาดใหญ่จะมีให้เห็นภายในสองสามสัปดาห์ข้างหน้า”โดยเวลานี้ศูนย์กลางการแพร่ระบาดใหญ่อยู่ที่ รัฐนิวยอร์ค โดยยังมีแนวโน้มระบาดอย่างหนักต่อไปในอีกไม่นานข้างหน้านี้
พิจารณาจากตัวเลขผู้เสียชีวิตจากสำนักข่าวต่างประเทศรวบรวมมาล่าสุด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม เฉพาะประเทศอิตาลี มีผู้เสียชีวิตล่าสุดถึง 10,023 คน ส่วนสหรัฐฯ มียอดผู้ติดเชื้อล่าสุดถึง 124,665 คน มียอดผู้เสียชีวิตถึง 2,191 คน และหากรวมยอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกมี 30,848 คน มียอดผู้ติดเชื้อ 664,924 คน
โดยสหรัฐฯ มียอดผู้ติดเชื้อสูงที่สุดในโลก และตามมาติดๆ ด้วยอิตาลี แต่ที่นี่มียอดผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก ส่วนผู้เสียชีวิตมากอันดันสอง คือ สเปน ส่วนจีน มียอดผู้ติดเชื้อ ล่าสุดตกลงมาเป็นอันดันสามของโลก รวมทั้งยอดผู้เสียชีวิต ก็อันดับลดลง เมื่อเทียบกับแนวโน้มในประเทศแถบยุโรปดังกล่าว รวมทั้งที่ประเทศอิหร่าน ที่มียอดผู้เสียชีวิตยังพุ่งพรวดอยู่ในเวลานี้
สำหรับประเทศไทย ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 มีนาคม มีผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 143 ราย มีคนตายเพิ่มอีก 1 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 1,388 ราย และเสียชีวิตรวม 7 ราย
เมื่อพิจารณาจากตัวเลขผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิต เปรียบเทียบกันระหว่าง ยุโรป อเมริกา กับทวีปเอเชีย ที่มีจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จนมาถึงประเทศในแถบอาเซียน ที่รวม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เข้าไปจะพบว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่ได้เพิ่มในแบบทวีคูณ แบบประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา เพราะเมื่อดูจากประเทศที่เคยแพร่ระบาดหนักๆ เริ่มจากจีน ที่ในเวลานี้มีการควบคุมการแพร่ระบาดได้แล้ว การระบาดในประเทศแทบจะไม่มีแล้ว ยกเว้นเชื้อที่มาจากคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และล่าสุด จีนก็สั่งห้ามเดินทางเข้าประเทศโดยสิ้นเชิงแล้ว รวมไปถึงเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ที่ตัวเลขเริ่มทรงตัว
หรือแม้แต่ สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมทั้งประเทศไทยด้วย ที่มีการระบุว่า หากไม่มีผู้ป่วยที่ติดเชื้อจากการร่วมทำกิจกรรมทางศาสนาในมาเลเซียภายในอีกวันสองวัน ก็ถือว่า “จบ”สำหรับประเทศไทยยังเหลือกรณีจาก “กลุ่มสนามมวย”ที่ต้องควบคุมกันต่อไป แต่ก็มีการให้ข้อมูลว่า แนวโน้มกำลังจะผ่านจุด “พีค”สุดไปแล้ว แต่ต้องจับตาในพื้นที่ต่างจังหวัดที่กำลังแพร่กระจายออกไป แต่หากมีการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ที่มีทั้งการ “ขู่”และเร่งสร้างจิตสำนึกให้มากขึ้น ไม่ให้ออกนอกบ้านก็น่าจะเริ่มควบคุมได้ หลังจากนี้อีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า
**อย่างไรก็ดี ทุกอย่างโดยเฉพาะตัวเลขดังกล่าวสามารถพลิกผันกลับมาได้ตลอดเวลา จากบวกกลายเป็นลบ หรือตรงกันข้าม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความร่วมมือของประชาชนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการมี “จิตสำนึก”ของชาวบ้านว่าต้องการทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อครอบครัว และเพื่อชาติมากน้อยแค่ไหน หากมีคนส่วนมากให้ความร่วมมือดี ทำตามคำแนะนำของแพทย์ก็ย่อมผ่านไปได้
ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องพิจารณากันแบบตั้งข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความเชื่อและทัศนคติของคนในสองทวีป ที่แตกต่างกัน นั่นคือ ระหว่างคนในเอเชียกับยุโรป และอเมริกา โดยเฉพาะในเรื่องการ “สวมหน้ากากอมนามัย”ที่ต่างกันแบบตรงกันข้าม เพราะทางแถบเอเชีย ทั้งจีน ญี่ปุ่น รวมทั้งเกาหลีใต้ ที่ต้องสวมหน้ากากเพื่อป้องกันการติดเชื้อ แต่ประเทศทางฝั่งโน้นมองไปอีกแบบ นั่นคนที่สวมหน้ากากอนามัยคือคนป่วยเท่านั้น คนไม่ป่วยไม่จำเป็นต้องสวม จนหลายครั้งจะได้เห็นการปฏิบัติกับคนเอเชียด้วยการเหยียดหยาม หรือถูกทำร้าย เพียงเพราะคนเอเซียคนนั้นสวมหน้ากากอนามัย ถูกมองว่าเป็นคนป่วย ถูกรังเกียจ
สำหรับคนเอเชียที่ผ่านมาเกิดโรคระบาดทั้ง ซาร์ ไข้หวัดนก ที่มาจากเชื้อไวรัส ทำให้มีประสบการณ์การสวมหน้ากากป้องกันมานานแล้ว มาคราวนี้บางประเทศจึงออกคำสั่งเข้มงวด ให้ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย และเมื่อพิจารณาจากเชื้อ “โควิด19”ที่เชื้อไวรัส มีการฟักตัวถึง 14 วัน ยังไม่แสดงอาการ ทำให้เกิดการแพรระบาดได้ง่าย ทำให้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดขนานใหญ่ในยุโรปและอเมริกา ในเวลานี้
นอกเหนือจากนี้ ในประเทศแถบนั้น ยังเชื่อเรื่อง “เสรีภาพ”ส่วนบุคคลที่ต้องมาก่อน ก็ทำให้มาตรการ “บังคับ”ทำได้ยาก และมักไม่ได้รับความร่วมมือ เหมือนกับที่เกิดขึ้นใน อิตาลี และสหรัฐอเมริกา หรือแม้แต่อังกฤษ จนถึงขั้นที่มีผู้บริหาร เช่น นายกเทศมนตรี บางเมืองออกมาก่นด่าประชาชนในเมืองของตัวเอง ที่ไม่ใส่ใจกับคำสั่งห้ามออกนอกบ้าน หรือการรวมกลุ่ม
ดังนั้นเชื่อว่า หากไม่เปลี่ยนทัศนคติและความเชื่อดังกล่าวออกมาในช่วงสถานการณ์โรคระบาดในช่วงนี้ เชื่อว่ายอดการติดเชื้อจะยังหนักหน่วงไปอีกนาน ขณะที่ประเทศในแถบเอเชีย ที่มีจีนเป็นตัวอย่างในการเข้มงวดแบบ “จัดหนัก”ก็ได้ผล หรือแม้แต่ประเทศไทย ก็อาจถึงขั้น “ปิดเมือง”ก็ได้ หากยังไม่ร่วมมือดีพอ !!