วานนี้ (2เม.ย.) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลนัดคำสั่ง/คำพิพากษา ชั้นตรวจคำฟ้อง คดีหมายเลขดำ อท.185/2562 ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ที่1 - 2 ยื่นฟ้อง นายเกรียงศักดิ์ ม่วงอ่อน ประธานคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนคดียุบพรรคอนาคตใหม่ , นายนิยต ดำรงประภักดิ์ , นายสุชาติ เพชรอาวุธ ทั้งสองเป็นกรรมการสืบสวนและไต่สวน , พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. , นางสุกัญญา รัตนนาคินทร์ , พล.ท.สมชาย ชัยวณิชยา , พ.ต.อ.ชนะชัย ลิ้มประเสริฐ ทั้งสาม เป็นคณะอนุกรรมการวินิจฉัย , นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. , นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ , นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย , นายฉัตรชัย จันทร์พรายศรี , นายปกรณ์ มหรรณพ , นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ , นายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ ทั้งเจ็ด เป็น กกต. เป็นจำเลยที่ 1 - 14
ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 มาตรา 69 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 86 กรณีทำสำนวนคดียุบพรรคอนาคตใหม่ ไม่ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และขั้นตอน มีลักษณะเร่งรัดคดี
ทั้งนี้ โจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.62 ระบุ ว่า ระหว่างวันที่ 8 ก.ค. - 11 ธ.ค.62 กกต.จำเลยที่ 8-14 ได้แต่งตั้ง จำเลยที่ 1 - 3 ให้เป็นประธาน กับคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน เพื่อรวบรวมหลักฐาน และแสวงหาข้อเท็จจริง กรณีมีผู้ร้องกล่าวหา นายธนาธร หัวหน้าพรรค และพรรค อนาคตใหม่ โจทก์ที่ 1 - 2 ว่า กระทำฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง หรือไม่
โดยอ้างว่าโจทก์ที่ 1 ให้พรรค อนค.โจทก์ที่ 2 กู้ยืมเงินจำนวน 191,200,000 บาท ซึ่งประธานและคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ จำเลยที่ 1 - 3 ทราบระเบียบแล้วแต่ไม่ได้กระทำให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และขั้นตอน กลับร่วมกันทำรายงานการไต่สวนพร้อมทั้งสรุปสำนวนการสืบสวนและไต่สวนเสนอจำเลยที่ 4 เพื่อพิจารณาทั้งที่ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับโจทก์ทั้งสอง จึงถือได้ว่ายังไม่มีการไต่สวนตามกฎหมายและเป็นการละเว้นการกระทำอันมิชอบ
ขณะที่เลขาธิการ กกต. จำเลยที่ 4 ก็ทราบดีอยู่แล้วว่า ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการหรือสั่งการให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนดำเนินการแจ้งข้อกล่าวแก่โจทก์ เพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยจำเลยที่ 4 ส่งสำนวนการสืบสวนและไต่สวนให้จำเลยที่ 5 - 7 ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการวินิจฉัย อันเป็นการเร่งรัดคดีกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองต่อไป
ส่วนจำเลยที่ 5-7 ก็มีมติเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลที่มีเขตอำนาจดำเนินการต่อไปและส่งสำนวนการสืบสวนและไต่สวนให้จำเลยที่ 8-14 ซึ่งเป็นคณะกรรมการ กกต.พิจารณาโดยไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน โดยหาก จำเลยที่ 5 - 7 เห็นว่าสำนวนการสืบสวน หรือไต่สวนยังไม่ถูกต้อง ก็มีอำนาจส่งเรื่องกลับไปให้เลขาธิการ กกต. จำเลยที่ 4 ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย หรือมอบหมายให้จำเลยที่ 1 - 3 ดำเนินการ
ส่วน กกต.จำเลยที่ 8-14 ก็ทราบอยู่แล้วว่า สำนวนการสืบสวนและไต่สวนยังไม่ได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่กลับร่วมกันลงมติให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองตามสำนวนการสืบสวน และไต่สวนดังกล่าว โดยมีมติเสียงข้างมาก ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรธน. พิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่ โจทก์ที่สอง มติของจำนวนที่ 8 - 14 จึงเป็นผลมาจากการร่วมกันกระทำโดยจงใจละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นการร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง ที่ถูกลิดรอนสิทธิ ที่จะรับทราบข้อกล่าวหา , ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา , เสนอพยานหลักฐาน หรือต่อสู้คดีตามสิทธิในกระบวนการยุติธรรม
ทั้งนี้ ระหว่างชั้นตรวจคำฟ้อง นั้น ศาลมีหนังสือ ลงวันที่ 6 ม.ค.63 ถึงสำนักงาน กกต.ให้มีหนังสือชี้แจ้งข้อเท็จจริงต่อศาล เพื่อพิจารณาประกอบด้วย
ขณะที่ ศาลพิจารณาเอกสารตามฟ้อง-ข้อเท็จจริงที่มีการชี้แจง และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว แล้วเห็นว่า การแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน เพื่อรวบรวมหลักฐาน และแสวงหาข้อเท็จจริง กรณีมีผู้ร้องกล่าวหา นายธนาธร อดีตหัวหน้าพรรค และพรรคอนาคตใหม่ เกี่ยวกับเงินกู้ยิม เป็นการแต่งตั้งไปตามอำนาจหน้าที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 , ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน การวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2561 และคณะอนุกรรมการวินิจฉัย ได้ทำความเห็นเสนอ กกต. พิจารณาตามอำนาจหน้าที่ โดยการพิจารณาเรื่องที่จะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ โจทก์ที่ 2 เริ่มวันที่ 26 พ.ย. 62 ที่จำเลยที่ 8 - 14 มีมติในที่ประชุมว่า เพื่อให้การดำเนินการต่อกรณีที่กล่าวหาว่ามีกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับพรรคการเมือง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงให้เลขาธิการกกต. จำเลยที่ 4 ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง พิจารณาและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 โดยในส่วนของอำนาจหน้าที่ กกต. จำเลยที่ 8 - 14 กรณีดังกล่าว ศาลรธน. ก็ได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้ว ในคดีที่มีการยื่นคำร้องยุบพรรค โจทก์ที่ 2 ว่าชอบด้วยกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคำวินิจฉัยศาลรธน. ถือเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพัน รัฐสภา , คณะรัฐมนตรี , ศาล , องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ตามรธน. มาตรา 211 การกระทำของจำเลยทั้ง 14 คน จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ดี ผลคำสั่งคดีนี้ คู่ความยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้อีกภายใน 1 เดือน
ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 มาตรา 69 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 86 กรณีทำสำนวนคดียุบพรรคอนาคตใหม่ ไม่ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และขั้นตอน มีลักษณะเร่งรัดคดี
ทั้งนี้ โจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.62 ระบุ ว่า ระหว่างวันที่ 8 ก.ค. - 11 ธ.ค.62 กกต.จำเลยที่ 8-14 ได้แต่งตั้ง จำเลยที่ 1 - 3 ให้เป็นประธาน กับคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน เพื่อรวบรวมหลักฐาน และแสวงหาข้อเท็จจริง กรณีมีผู้ร้องกล่าวหา นายธนาธร หัวหน้าพรรค และพรรค อนาคตใหม่ โจทก์ที่ 1 - 2 ว่า กระทำฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง หรือไม่
โดยอ้างว่าโจทก์ที่ 1 ให้พรรค อนค.โจทก์ที่ 2 กู้ยืมเงินจำนวน 191,200,000 บาท ซึ่งประธานและคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ จำเลยที่ 1 - 3 ทราบระเบียบแล้วแต่ไม่ได้กระทำให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และขั้นตอน กลับร่วมกันทำรายงานการไต่สวนพร้อมทั้งสรุปสำนวนการสืบสวนและไต่สวนเสนอจำเลยที่ 4 เพื่อพิจารณาทั้งที่ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหากับโจทก์ทั้งสอง จึงถือได้ว่ายังไม่มีการไต่สวนตามกฎหมายและเป็นการละเว้นการกระทำอันมิชอบ
ขณะที่เลขาธิการ กกต. จำเลยที่ 4 ก็ทราบดีอยู่แล้วว่า ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการหรือสั่งการให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนดำเนินการแจ้งข้อกล่าวแก่โจทก์ เพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยจำเลยที่ 4 ส่งสำนวนการสืบสวนและไต่สวนให้จำเลยที่ 5 - 7 ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการวินิจฉัย อันเป็นการเร่งรัดคดีกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองต่อไป
ส่วนจำเลยที่ 5-7 ก็มีมติเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลที่มีเขตอำนาจดำเนินการต่อไปและส่งสำนวนการสืบสวนและไต่สวนให้จำเลยที่ 8-14 ซึ่งเป็นคณะกรรมการ กกต.พิจารณาโดยไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน โดยหาก จำเลยที่ 5 - 7 เห็นว่าสำนวนการสืบสวน หรือไต่สวนยังไม่ถูกต้อง ก็มีอำนาจส่งเรื่องกลับไปให้เลขาธิการ กกต. จำเลยที่ 4 ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย หรือมอบหมายให้จำเลยที่ 1 - 3 ดำเนินการ
ส่วน กกต.จำเลยที่ 8-14 ก็ทราบอยู่แล้วว่า สำนวนการสืบสวนและไต่สวนยังไม่ได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่กลับร่วมกันลงมติให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองตามสำนวนการสืบสวน และไต่สวนดังกล่าว โดยมีมติเสียงข้างมาก ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรธน. พิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่ โจทก์ที่สอง มติของจำนวนที่ 8 - 14 จึงเป็นผลมาจากการร่วมกันกระทำโดยจงใจละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นการร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง ที่ถูกลิดรอนสิทธิ ที่จะรับทราบข้อกล่าวหา , ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา , เสนอพยานหลักฐาน หรือต่อสู้คดีตามสิทธิในกระบวนการยุติธรรม
ทั้งนี้ ระหว่างชั้นตรวจคำฟ้อง นั้น ศาลมีหนังสือ ลงวันที่ 6 ม.ค.63 ถึงสำนักงาน กกต.ให้มีหนังสือชี้แจ้งข้อเท็จจริงต่อศาล เพื่อพิจารณาประกอบด้วย
ขณะที่ ศาลพิจารณาเอกสารตามฟ้อง-ข้อเท็จจริงที่มีการชี้แจง และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว แล้วเห็นว่า การแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน เพื่อรวบรวมหลักฐาน และแสวงหาข้อเท็จจริง กรณีมีผู้ร้องกล่าวหา นายธนาธร อดีตหัวหน้าพรรค และพรรคอนาคตใหม่ เกี่ยวกับเงินกู้ยิม เป็นการแต่งตั้งไปตามอำนาจหน้าที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 , ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน การวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2561 และคณะอนุกรรมการวินิจฉัย ได้ทำความเห็นเสนอ กกต. พิจารณาตามอำนาจหน้าที่ โดยการพิจารณาเรื่องที่จะเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ โจทก์ที่ 2 เริ่มวันที่ 26 พ.ย. 62 ที่จำเลยที่ 8 - 14 มีมติในที่ประชุมว่า เพื่อให้การดำเนินการต่อกรณีที่กล่าวหาว่ามีกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับพรรคการเมือง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงให้เลขาธิการกกต. จำเลยที่ 4 ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง พิจารณาและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 โดยในส่วนของอำนาจหน้าที่ กกต. จำเลยที่ 8 - 14 กรณีดังกล่าว ศาลรธน. ก็ได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้ว ในคดีที่มีการยื่นคำร้องยุบพรรค โจทก์ที่ 2 ว่าชอบด้วยกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคำวินิจฉัยศาลรธน. ถือเป็นเด็ดขาด มีผลผูกพัน รัฐสภา , คณะรัฐมนตรี , ศาล , องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ตามรธน. มาตรา 211 การกระทำของจำเลยทั้ง 14 คน จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ดี ผลคำสั่งคดีนี้ คู่ความยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้อีกภายใน 1 เดือน