** ก็ต้องบอกว่าประเทศไทยมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ หรือหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็กำลังเดินทางถึงทางแยกสองแพร่งแล้วว่าเราจะเลี้ยวไปทางไหน ระหว่างเส้นทางอันตรายโคตรๆ กับอันตรายแบบไม่หนักมากนัก เพราะเมื่อได้เห็นตัวเลขผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่ผ่านมาอีกจำนวน 111 ราย รวมยอดผู้ป่วยทั้งหมด 1,045 ราย แม้ว่ายอดผู้เสียชีวิตยังคงเดิม คือ 4 ราย และมียอดหายป่วยกลับบ้านได้เพิ่มอีก 13 ราย รวมเป็น 88 ราย และอาการหนัก 4 รายก็ตาม
แต่เมื่อพิจารณาจากจำนวนยอดผู้ป่วยที่นับจนถึงเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ก็ถือว่าได้ทะลุ “หลักพัน”แล้ว และจำนวนผู้ป่วยเป็นร้อยรายต่อเนื่องกันมาสองสามวันแล้ว ดังนั้นเมื่อมาถึงหลักพันแล้วนับจากนี้ไปหากไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด และได้รับความร่วมมือตื่นตัวที่ดีแบบมีจิตสำนึกในการช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลือครอบครัว และช่วยชาติกันทุกคนแล้ว มันก็เป็นไปได้ที่จำนวนผู้ป่วยที่จะพุ่งพรวดขึ้นไปแบบทวีคูณ
จากการแถลงประจำวันของกระทรวงสาธารณสุข โดย นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค ที่ให้ข้อมูลที่น่าเป็นห่วงก็คือ เวลานี้มีแนวโน้มการแพร่ระบาดในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง เช่น ภูเก็ต พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกันจำนวนผู้ป่วยแยกกลุ่มออกมาเป็น สามสี่กลุ่มเช่นเดิม คือ กลุ่มสถานบันเทิง กลุ่มสนามมวย กลุ่มที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาที่ประเทศมาเลเซีย รวมทั้งผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่ากังวล ไม่แพ้พื้นที่กรุงเทพฯ อย่างไรก็ดีหากให้สรุปรวมแล้วจะพบว่า การระบาดออกไปทั่วประเทศ เพราะแทบทุกจังหวัดมีจำนวนผู้ป่วยเกือบจะครบทุกจังหวัดแล้ว
จากการแถลงครั้งแรกของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.เมือวันที่ 26 มีนาคม พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคง ระบุว่า หากประชาชนยังไม่ให้ความร่วมมือไม่ปฏิบัติตัวตามคำสั่งของแพทย์ ยังใช้ชีวิตตามปกติ ก็เชื่อว่าภายในวันศุกร์หน้า ตัวเลขผู้ป่วยจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นหลักหมื่นอย่างแน่นอน แต่หากให้ความร่วมมือ และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ตัวเลขก็จะเพิ่มเพียงแค่หลักพันหรือประมาณ 2 พันรายเท่านั้น
**ได้ยินแบบนี้ก็ต้องถือว่าน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากตัวเลขไปถึงหลักหมื่น นั่นก็ย่อมหมายถึงหมายถึง “หลักแสน”ที่อาจเป็นไปได้ เพราะมันเป็นตัวเลขแบบทวีคูณ เป็นแบบลูกโซ่นั่นแหละ แต่เอาเป็นว่าแค่หลักหมื่นก็ทำให้ระบบการรักษาพยาบาลโกลาหล เกินรับมือไหวแล้ว เพราะเท่าที่เห็นในเวลานี้ อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องแพทย์ก็เริ่มไม่เพียงพอแล้ว ต้องขอรับบริจาคกันแล้ว ดังนั้นหากพิจารณาจากตัวเลขเท่าที่เห็นก็ถือว่าน่ากลัวมากพอแล้ว จนไม่อยากนึกไปถึงจำนวนผู้ป่วยจากไวรัสดังกล่าวนี้ในจำนวนหลักหมื่นเลย
อย่างไรก็ดี นาทีนี้ก็เหมือน “ทางสองแพร่ง”ที่เราคนไทยทุคนสามารถเลือกเองได้ว่าจะไปทางไหน จะไปแบบไม่สาหัสมาก และเดินไปในเส้นทางนรกสุดขั้วที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นหลักหมื่นคนเพียงสัปดาห์เดียว นั่นคือในวันศุกร์หน้า แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการ “ขู่” ให้กลัวปนอยู่บ้าง แต่เชื่อเถอะว่าหากทุกคนไม่ตระหนัก ไม่มีจิตสำนึก และไม่รับผิดชอบต่อตัวเองและครอบครัว รวมไปถึงประเทศชาติแล้วรับรองว่าจะได้เห็นภาพความโกลาหลและน่าสลดหดหู่รออยู่ตรงหน้าแน่นอน
ที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นภาพอันน่าสะเทือนใจในบางประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ที่มีจำนวนผู้ป่วยจำนวนมาก และเห็นภาพการขนศพออกไปจากโรงพยาบาล เป็นภาพที่น่าเศร้า รวมไปถึงการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และขาดแคลนสถานที่ในการรักษา จนทำให้บางแห่งได้ยินข่าวว่าต้องปล่อยให้เสียชีวิตไปอย่างน่าเวทนา
**ดังนั้น สำหรับประเทศไทยในเวลานี้ถือว่าทุกคนน่าจะรับรู้ถึงความร้ายแรงของเชื้อโรคร้ายดังกล่าวกันดีอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเราเองว่าจะเลือกแบบไหน จะเลือกเดินในเส้นทางวิกฤตที่รออยู่ข้างหน้า ทั้งที่เราสามารถเลี่ยงได้ เพียงแค่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล และทำตามคำแนะนำของแพทย์ด้วยจิตสำนึกรับผิดชอบเท่านั้น เราก็จะผ่านพ้นไปได้ !!
แต่เมื่อพิจารณาจากจำนวนยอดผู้ป่วยที่นับจนถึงเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ก็ถือว่าได้ทะลุ “หลักพัน”แล้ว และจำนวนผู้ป่วยเป็นร้อยรายต่อเนื่องกันมาสองสามวันแล้ว ดังนั้นเมื่อมาถึงหลักพันแล้วนับจากนี้ไปหากไม่มีมาตรการควบคุมที่เข้มงวด และได้รับความร่วมมือตื่นตัวที่ดีแบบมีจิตสำนึกในการช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลือครอบครัว และช่วยชาติกันทุกคนแล้ว มันก็เป็นไปได้ที่จำนวนผู้ป่วยที่จะพุ่งพรวดขึ้นไปแบบทวีคูณ
จากการแถลงประจำวันของกระทรวงสาธารณสุข โดย นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค ที่ให้ข้อมูลที่น่าเป็นห่วงก็คือ เวลานี้มีแนวโน้มการแพร่ระบาดในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง เช่น ภูเก็ต พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกันจำนวนผู้ป่วยแยกกลุ่มออกมาเป็น สามสี่กลุ่มเช่นเดิม คือ กลุ่มสถานบันเทิง กลุ่มสนามมวย กลุ่มที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาที่ประเทศมาเลเซีย รวมทั้งผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่ากังวล ไม่แพ้พื้นที่กรุงเทพฯ อย่างไรก็ดีหากให้สรุปรวมแล้วจะพบว่า การระบาดออกไปทั่วประเทศ เพราะแทบทุกจังหวัดมีจำนวนผู้ป่วยเกือบจะครบทุกจังหวัดแล้ว
จากการแถลงครั้งแรกของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.เมือวันที่ 26 มีนาคม พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะผู้รับผิดชอบด้านความมั่นคง ระบุว่า หากประชาชนยังไม่ให้ความร่วมมือไม่ปฏิบัติตัวตามคำสั่งของแพทย์ ยังใช้ชีวิตตามปกติ ก็เชื่อว่าภายในวันศุกร์หน้า ตัวเลขผู้ป่วยจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นหลักหมื่นอย่างแน่นอน แต่หากให้ความร่วมมือ และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ตัวเลขก็จะเพิ่มเพียงแค่หลักพันหรือประมาณ 2 พันรายเท่านั้น
**ได้ยินแบบนี้ก็ต้องถือว่าน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากตัวเลขไปถึงหลักหมื่น นั่นก็ย่อมหมายถึงหมายถึง “หลักแสน”ที่อาจเป็นไปได้ เพราะมันเป็นตัวเลขแบบทวีคูณ เป็นแบบลูกโซ่นั่นแหละ แต่เอาเป็นว่าแค่หลักหมื่นก็ทำให้ระบบการรักษาพยาบาลโกลาหล เกินรับมือไหวแล้ว เพราะเท่าที่เห็นในเวลานี้ อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องแพทย์ก็เริ่มไม่เพียงพอแล้ว ต้องขอรับบริจาคกันแล้ว ดังนั้นหากพิจารณาจากตัวเลขเท่าที่เห็นก็ถือว่าน่ากลัวมากพอแล้ว จนไม่อยากนึกไปถึงจำนวนผู้ป่วยจากไวรัสดังกล่าวนี้ในจำนวนหลักหมื่นเลย
อย่างไรก็ดี นาทีนี้ก็เหมือน “ทางสองแพร่ง”ที่เราคนไทยทุคนสามารถเลือกเองได้ว่าจะไปทางไหน จะไปแบบไม่สาหัสมาก และเดินไปในเส้นทางนรกสุดขั้วที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นหลักหมื่นคนเพียงสัปดาห์เดียว นั่นคือในวันศุกร์หน้า แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการ “ขู่” ให้กลัวปนอยู่บ้าง แต่เชื่อเถอะว่าหากทุกคนไม่ตระหนัก ไม่มีจิตสำนึก และไม่รับผิดชอบต่อตัวเองและครอบครัว รวมไปถึงประเทศชาติแล้วรับรองว่าจะได้เห็นภาพความโกลาหลและน่าสลดหดหู่รออยู่ตรงหน้าแน่นอน
ที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นภาพอันน่าสะเทือนใจในบางประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ที่มีจำนวนผู้ป่วยจำนวนมาก และเห็นภาพการขนศพออกไปจากโรงพยาบาล เป็นภาพที่น่าเศร้า รวมไปถึงการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และขาดแคลนสถานที่ในการรักษา จนทำให้บางแห่งได้ยินข่าวว่าต้องปล่อยให้เสียชีวิตไปอย่างน่าเวทนา
**ดังนั้น สำหรับประเทศไทยในเวลานี้ถือว่าทุกคนน่าจะรับรู้ถึงความร้ายแรงของเชื้อโรคร้ายดังกล่าวกันดีอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเราเองว่าจะเลือกแบบไหน จะเลือกเดินในเส้นทางวิกฤตที่รออยู่ข้างหน้า ทั้งที่เราสามารถเลี่ยงได้ เพียงแค่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล และทำตามคำแนะนำของแพทย์ด้วยจิตสำนึกรับผิดชอบเท่านั้น เราก็จะผ่านพ้นไปได้ !!