เชื้อโรคไวรัสจะเดินหน้าระบาดต่อไปตามธรรมชาติอย่างไม่เลือกว่า ใครจะเป็นเหยื่อคนต่อไป ตราบเท่าที่ไวรัสจะมีสะพานเชื่อมจากเหยื่อคนแรกไปยังเหยื่อคนที่สอง นั่นคือ ร่างกายของมนุษย์นี่แหละที่พร้อมรับเชื้อโรคนี้อย่างไม่ทันรู้ตัว
มกุฎราชกุมารแห่งบัลลังก์สหราชอาณาจักร ก็ได้กลายเป็นเหยื่อคนล่าสุดที่ไปรับเชื้อไวรัสสยองนี้อย่างไม่รู้ตัว เพราะปริ๊นซ์ออฟเวลล์ หรือเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ต้องเสด็จไปในงานการกุศลต่างๆ
ขนาดท่านพยายามเตือนพระองค์เองที่จะต้องไม่ประทานพระหัตถ์ไปจับมือเหล่าบรรดาคณะกรรมการผู้จัดงาน โดยพระองค์ได้ขอยืมธรรมเนียม “ไหว้” จากอินเดีย-ซึ่งเคยเป็นประเทศราชของอังกฤษมากว่าร้อยปี-มาใช้แทนการจับมือเมื่อพบกัน
แต่อาจเพราะเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ท่านเป็นเจ้านายที่มีท่าทีอบอุ่นเวลาได้พบกับพสกนิกรของท่าน จึงมักประทานพระหัตถ์ให้ผู้เฝ้าแหนได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดเสมอ
ท่านถึงกับยื่นพระหัตถ์ (โดยอัตโนมัติ) ประทานให้ผู้คนที่มาเฝ้าได้ถวายการต้อนรับอย่างอบอุ่น
แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่า การประทานมือให้สัมผัส จะเป็นช่องทางให้เชื้อโรคร้ายระบาดได้ง่ายขึ้น-ก็ทรงชักมือกลับ-พร้อมตรัสประโยคเด็ดๆ แล้วหัวเราะเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศที่ดูเหมือนไม่เคยชินเช่นนี้
มันเป็น New Normal ที่มนุษยชาติจะต้องมีสำนึกใหม่กับร่างกายของเรา ที่จะเป็นสะพานส่งต่อเชื้อโรคได้ดีนัก...แม้หลังจากโลกเราอาจค้นพบวัคซีนกับโรคไวรัสนี้ได้ แต่ไวรัสตัวใหม่ต่อไปข้างหน้าก็จะมีการขยายตัวเฉกเช่นเดียวกัน
เมื่อเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงชักพระหัตถ์กลับ ก็ทรงแก้เขินด้วยการเดินเข้าหาผู้มาเฝ้าอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพื่อแสดงท่าทีของความเป็นมิตร ซึ่งก็ยิ่งเปิดโอกาสให้ลมหายใจผู้เข้าเฝ้าได้ส่งผ่านถึงพระองค์อย่างเต็มที่
ก็ทำให้ทั่วโลกได้ตระหนักว่า ถึงเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แต่สำหรับเชื้อไวรัสร้ายตัวนี้มันจะไม่เลือกฐานะทางสังคม, เพศ, อายุที่ไวรัสจะกระโดดเข้าใส่แน่นอน
ซึ่งก็มีเจ้าผู้ครองนครรัฐโมนาโกคือ เจ้าชายอัลแบร์ โอรสของเจ้าหญิงเกรซ เคลลี-อดีตดาราฮอลลีวูดคนดัง-ก็ตกเป็นเหยื่อไวรัสร้ายนี้เช่นกัน
รวมทั้งสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของแคนาดา คือ ภรรยาของนายกรัฐมนตรีทรูโด ก็เป็นเหยื่อเจ้าไวรัสร้ายนี้ และทำให้ท่านนายกฯ ทรูโดต้องกักบริเวณตัวเองถึง 14 วันด้วย
มีทั้งรมต.สาธารณสุขของฝรั่งเศส ก็ตกเป็นเหยื่อของไวรัสนี้ และรมต.ช่วยของรัฐบาลอังกฤษด้วย
สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ งดงานสำคัญๆ ที่เธอจะต้องไปเป็นประธานการประชุมหรืองานกุศลทั้งหมด
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธแห่งอังกฤษ ทรงงดทุกๆ งาน และเสด็จไปประทับที่พระราชวังวินด์เซอร์ทันที เพื่อห่างไกลจากผู้คน เพราะทรงมีพระชนมายุเกิน 90 ชันษาแล้วด้วย
นายกฯ อังกฤษ ออกมากล่าวตำหนิชาวอังกฤษที่ไม่นำพาต่อกฎ “Social Distancing” ซึ่งเป็นกฎที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ผู้คนทั่วโลกต้องรีบปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และตัวอย่างที่ประสบผลสำเร็จอย่างดีมากในการปฏิบัติเคร่งครัดต่อกฎเกณฑ์ของการแพทย์ข้อนี้ ก็คือ ประเทศจีน ที่ให้ผู้คนกักตัวเองอยู่ในแต่ในบ้าน ไม่ต้องไปมาหาสู่กัน ซึ่งเป็นกฎที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกลางที่มนุษยชาติต้องเผชิญต่อโรคร้าย และติดต่อกันจากกาย-สู่-กาย หรือลมหายใจและสารคัดหลั่งทุกชนิด (ทั้งเหงื่อ, ปัสสาวะ, อุจจาระ)
ตั้งแต่มนุษย์ผ่านการระบาดของกาฬโรค, วัณโรค, ไข้ทรพิษ ฯลฯ ซึ่งสมัยก่อนยังไม่มี Testing Kitsสำหรับตรวจสอบว่าเชื้อโรคอยู่ในร่างกายของใครบ้าง?
ก็กฎ-“กายห่างกัน” นี้แหละ ที่ช่วยมนุษยชาติเอาไว้ไม่ให้เชื้อโรคลุกลามจนต้องตายเกลื่อนกลาด
กฎอันนี้ เป็นวิธีป้องกันการระบาดได้ผลดีระดับหนึ่ง เพื่อหน่วงเวลาสำหรับการตระเตรียมอุปกรณ์ที่จะรักษาพยาบาลผู้คนที่ติดเชื้อ และต้องการการรักษาพยาบาล รวมทั้งคนป่วยหนักที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก นายแอนดรูว์ โคโม ก็เห็นผลมาแล้ว
เครื่องช่วยป้องกัน “กายห่าง” จากลมหายใจที่มีไวรัสนี้ อีกชนิดก็คือ “หน้ากากอนามัย” ซึ่งในตะวันตกไม่นิยมสวมกัน เพราะถ้าใครสวม คนนั้นกำลังป่วยและไม่อยากให้ลมหายใจของตนไปแพร่เชื้อ
สำหรับโลกตะวันออกนั้น ทั้งประเทศได้สวมกัน ทั้งไม่ให้ต้องเอาแพร่เชื้อ และป้องกันไม่ให้ตัวเองรับเชื้อจากคนอื่นๆ ด้วย
ทั้งญี่ปุ่น, จีน, เกาหลีใต้, ไต้หวัน ต่างก็ใช้การสวมหน้ากากนี้มานานนมแล้ว
และนี่เป็นอีกสาเหตุที่มีการขยายระบาดใหญ่มากที่อิตาลี, สเปน และขณะนี้ที่สหรัฐฯ เพราะไม่นิยมสวมหน้ากาก ตั้งแต่โรคร้ายนี้เพิ่งเริ่มต้นใหม่ๆ
รวมทั้งเจ้าฟ้าชาร์ลส์ และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของแคนาดา ก็ไม่นิยมสวมหน้ากาก
แต่สำหรับประเทศไทย คนไทยตื่นตัวมากเรื่องการสวมหน้ากากป้องกันโรคร้ายนี้
เพียงแต่มีคนโฉดได้ “อม” หน้ากากเอาไว้ ไม่ให้ออกมาสู่ตลาดของไทย แต่แอบกลับไปขายได้ราคางามในต่างประเทศ
ร้านขายยาทั่วไปของไทยยังปิดป้ายว่า ไม่มีหน้ากากและน้ำยาฆ่าเชื้อ จนถึงทุกวันนี้ หลังจากโรคระบาดมาแล้ว 3 เดือนเต็มๆ และคนติดเชื้อกันแล้วเกือบ 4 แสนคนทั่วโลก
เรื่องกายห่างกันนี้ ไม่จำเป็นที่ “ใจ” จะต้องห่างกันด้วย โดยเฉพาะเมื่อเรามีระบบโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน ก็ทำให้เราติดต่อกันได้อย่างใกล้ชิด แม้ “กายจะห่างกัน” ก็ตาม