**ระหว่างรอความชัดเจนของมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “โควิด-19” ที่คาดว่าจะออกมาในวันที่ 24 มีนาคม หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันเดียวกัน ซึ่งมั่นใจว่ามาตรการของรัฐบาลน่าจะออกมาในแบบครอบคลุมประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนได้มากที่สุด ส่วนจะถูกใจมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องรอลุ้นกันเมื่อถึงตอนนั้น
แต่เอาเป็นว่าระหว่างที่รอลุ้นมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของรัฐบาลก็ต้องว่ากันไปตามเรื่องตามราวกันก่อน แต่ก็หนีไม่พ้นที่เกี่ยวพันกับเชื้อโรคร้าย ไวรัสโควิด 19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักกันไปทั่วโลก และประเทศไทยก็กำลังมีแนวโน้มเข้าขั้น “หนักหน่วง”ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หากมาตรการต่างๆ ที่ออกมาแล้ว “ไม่ได้รับความร่วมมือ” ที่ดี รวมไปถึงการขาดจิตสำนึกจากประชาชนที่ต้องพร้อมร่วมใจกันทั้งประเทศ โดยก้าวข้ามทัศนคติทางการเมืองออกไปชั่วคราว เพื่อให้ทุกคนได้รอด หรืออย่างน้อยคนส่วนใหญ่ได้ผ่านไปได้
สำหรับผู้ป่วยรายใหม่จากการติดเชื้อไวรัสดังกล่าว ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา จากการแถลงของกระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่ จำนวน 122 ราย รอสอบสวนโรคอีก 92 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 721 ราย ที่น่าสังเกตก็คือ มีการพบผู้ป่วยกระจายในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น
แน่นอนว่าเมื่อพิจารณาจากตัวเลขดังกล่าว รวมไปถึงการมองย้อนหลังกลับไป ทำให้เห็นแนวโน้มได้ชัดเจนว่า ประเทศไทยกำลังมีจำนวนผู้ติดเชื้อและเป็นผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเชื่อว่าภายในสองสัปดาห์ หรืออย่างเร็วภายในปลายสัปดาห์นี้ ก็อาจจะได้เห็นตัวเลขที่ “พุ่งทะยาน”มากกว่านี้หลายเท่าตัว กำลังลุ้นด้วยใจระทึกว่า เราจะไปแบบ “อิตาลี”และ “อิหร่าน”หรือไม่ ในอนาคตอันใกล้นี้
อย่างไรก็ดี เหมือนกับที่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการระบาดของโรค นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ที่เป็นรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวเตือนเอาไว้ว่าเรากำลังอยู่ “บนทางสองแพร่ง”ดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำ และคำสั่งของทางการอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงให้ได้
อย่างไรก็ดี ผลจากการแพร่ระบาดของโรคร้ายดังกล่าวที่สร้างความหวาดกลัวไปทั่วโลก เนื่องจากสร้างความเสียหายและสูญเสียมากที่สุดในโลกเท่าที่มีการระบาดของโรคในโลกนี้มาเลยทีเดียว แต่อีกด้านหนึ่งมันก็กำลังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ให้กับชาวโลก โดยเฉพาะกับ“ประเทศไทย” ที่อาจเรียกว่า ในอนาคตข้างหน้าเชื่อว่าจะเป็นการ “พลิกโฉมหน้า”ประเทศของเรากันเลยทีเดียวก็ว่าได้
ขณะเดียวกัน ถือว่าเป็นจังหวะดีที่มีระบบการสื่อสารยุคใหม่เข้ามารองรับ นั่นคือ เทคโนโลยีแบบไร้สาย ที่กลายเป็นโชเชียลมีเดียในเวลานี้
ในด้านความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอาจจะไม่ลึกซึ้งพอ แต่สามารถจับความเคลื่อนไหว และการปฏิบัติที่เริ่มเอาจริงเอาจังกันแล้ว จากการใช้ระบบ “ออนไลน์”กันมากขึ้น นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดและมาจนถึงวันนี้ มีการเชื่อมโยงการสื่อสารในระบบดังกล่าวอย่างกว้างขวาง หลายบริษัทได้เริ่มให้พนักงานทำงานที่บ้านผ่านระบบออนไลน์ หรือลดจำนวนพนักงานในออฟฟิศเท่าที่จำเป็น เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มีการเรียน การสอนในระบบออนไลน์ เป็นต้น
รวมไปถึงระบบทางราชการที่ใช้การสื่อสารทางไกล ระบบธนาคาร ฯลฯ ที่สำคัญระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ กำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการสั่งซื้อสินค้า การสั่งสินค้า อาหาร เครื่องใช้อุปโภคบริโภคทางออนไลน์ ส่งตรงถึงบ้าน ซึ่งจะเห็นว่ามีหลายห้างใหญ่กำลังปรับตัวกันไปทางนี้กันเรื่อยๆ และจะเกิดอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย
ล่าสุด รัฐบาลก็ได้มีการปรับเปลี่ยนการประชุมคณะรัฐมนตรีกันแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นั่นคือ การประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบวีดิโอคอนเฟอร์เรนท์ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะนั่งเป็นประธานการประชุมที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ขณะที่คณะรัฐมนตรีก็จะนั่งประจำอยู่ที่แต่ละกระทรวง ซึ่งเหตุผลเฉพาะหน้า ก็เพื่อไม่ให้เกิดความแออัด และเกิดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว
นั่นคือภาพที่กำลังมองเห็นว่า ต่อไปนี้ประเทศไทยกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยระบบการสื่อสารเทคโนโลยีแบบใหม่ ที่แม้ว่าจะมีหลายคนคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าจะต้องมีแบบนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะแพร่หลายได้รวดเร็วในเวลานี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านเรากำลังจะมีเทคโนโลยี “5จี”ภายในปีนี้ เชื่อว่าทุกอย่างก็จะยิ่งก้าวกระโดด จนบีบให้ทุกคนต้องปรับตัวที่เรียกว่าให้ทันกับยุค “ดิจิทัล”ทางหนึ่งก็เพื่อให้ “เอาตัวรอด”อีกด้วย !!
แต่เอาเป็นว่าระหว่างที่รอลุ้นมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของรัฐบาลก็ต้องว่ากันไปตามเรื่องตามราวกันก่อน แต่ก็หนีไม่พ้นที่เกี่ยวพันกับเชื้อโรคร้าย ไวรัสโควิด 19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักกันไปทั่วโลก และประเทศไทยก็กำลังมีแนวโน้มเข้าขั้น “หนักหน่วง”ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หากมาตรการต่างๆ ที่ออกมาแล้ว “ไม่ได้รับความร่วมมือ” ที่ดี รวมไปถึงการขาดจิตสำนึกจากประชาชนที่ต้องพร้อมร่วมใจกันทั้งประเทศ โดยก้าวข้ามทัศนคติทางการเมืองออกไปชั่วคราว เพื่อให้ทุกคนได้รอด หรืออย่างน้อยคนส่วนใหญ่ได้ผ่านไปได้
สำหรับผู้ป่วยรายใหม่จากการติดเชื้อไวรัสดังกล่าว ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา จากการแถลงของกระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่ จำนวน 122 ราย รอสอบสวนโรคอีก 92 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 721 ราย ที่น่าสังเกตก็คือ มีการพบผู้ป่วยกระจายในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น
แน่นอนว่าเมื่อพิจารณาจากตัวเลขดังกล่าว รวมไปถึงการมองย้อนหลังกลับไป ทำให้เห็นแนวโน้มได้ชัดเจนว่า ประเทศไทยกำลังมีจำนวนผู้ติดเชื้อและเป็นผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเชื่อว่าภายในสองสัปดาห์ หรืออย่างเร็วภายในปลายสัปดาห์นี้ ก็อาจจะได้เห็นตัวเลขที่ “พุ่งทะยาน”มากกว่านี้หลายเท่าตัว กำลังลุ้นด้วยใจระทึกว่า เราจะไปแบบ “อิตาลี”และ “อิหร่าน”หรือไม่ ในอนาคตอันใกล้นี้
อย่างไรก็ดี เหมือนกับที่ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการระบาดของโรค นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ที่เป็นรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวเตือนเอาไว้ว่าเรากำลังอยู่ “บนทางสองแพร่ง”ดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำ และคำสั่งของทางการอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงให้ได้
อย่างไรก็ดี ผลจากการแพร่ระบาดของโรคร้ายดังกล่าวที่สร้างความหวาดกลัวไปทั่วโลก เนื่องจากสร้างความเสียหายและสูญเสียมากที่สุดในโลกเท่าที่มีการระบาดของโรคในโลกนี้มาเลยทีเดียว แต่อีกด้านหนึ่งมันก็กำลังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ให้กับชาวโลก โดยเฉพาะกับ“ประเทศไทย” ที่อาจเรียกว่า ในอนาคตข้างหน้าเชื่อว่าจะเป็นการ “พลิกโฉมหน้า”ประเทศของเรากันเลยทีเดียวก็ว่าได้
ขณะเดียวกัน ถือว่าเป็นจังหวะดีที่มีระบบการสื่อสารยุคใหม่เข้ามารองรับ นั่นคือ เทคโนโลยีแบบไร้สาย ที่กลายเป็นโชเชียลมีเดียในเวลานี้
ในด้านความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอาจจะไม่ลึกซึ้งพอ แต่สามารถจับความเคลื่อนไหว และการปฏิบัติที่เริ่มเอาจริงเอาจังกันแล้ว จากการใช้ระบบ “ออนไลน์”กันมากขึ้น นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดและมาจนถึงวันนี้ มีการเชื่อมโยงการสื่อสารในระบบดังกล่าวอย่างกว้างขวาง หลายบริษัทได้เริ่มให้พนักงานทำงานที่บ้านผ่านระบบออนไลน์ หรือลดจำนวนพนักงานในออฟฟิศเท่าที่จำเป็น เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มีการเรียน การสอนในระบบออนไลน์ เป็นต้น
รวมไปถึงระบบทางราชการที่ใช้การสื่อสารทางไกล ระบบธนาคาร ฯลฯ ที่สำคัญระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ กำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการสั่งซื้อสินค้า การสั่งสินค้า อาหาร เครื่องใช้อุปโภคบริโภคทางออนไลน์ ส่งตรงถึงบ้าน ซึ่งจะเห็นว่ามีหลายห้างใหญ่กำลังปรับตัวกันไปทางนี้กันเรื่อยๆ และจะเกิดอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย
ล่าสุด รัฐบาลก็ได้มีการปรับเปลี่ยนการประชุมคณะรัฐมนตรีกันแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นั่นคือ การประชุมคณะรัฐมนตรีผ่านระบบวีดิโอคอนเฟอร์เรนท์ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะนั่งเป็นประธานการประชุมที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ขณะที่คณะรัฐมนตรีก็จะนั่งประจำอยู่ที่แต่ละกระทรวง ซึ่งเหตุผลเฉพาะหน้า ก็เพื่อไม่ให้เกิดความแออัด และเกิดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว
นั่นคือภาพที่กำลังมองเห็นว่า ต่อไปนี้ประเทศไทยกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยระบบการสื่อสารเทคโนโลยีแบบใหม่ ที่แม้ว่าจะมีหลายคนคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าจะต้องมีแบบนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะแพร่หลายได้รวดเร็วในเวลานี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านเรากำลังจะมีเทคโนโลยี “5จี”ภายในปีนี้ เชื่อว่าทุกอย่างก็จะยิ่งก้าวกระโดด จนบีบให้ทุกคนต้องปรับตัวที่เรียกว่าให้ทันกับยุค “ดิจิทัล”ทางหนึ่งก็เพื่อให้ “เอาตัวรอด”อีกด้วย !!
