“หนึ่งความคิด”
“สุรวิชช์ วีรวรรณ”
แน่นอนว่า การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคนเราคงละทิ้งการเมืองไม่ได้ เสรีภาพ ความเท่าเทียมเป็นเรื่องที่เราต้องปกป้องและเรียกร้อง ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาของสังคมที่ต้องแก้ไข คุณภาพชีวิตและระบบสาธารณสุขก็เป็นเรื่องจำเป็นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน วันนี้เราจึงต้องพักบางเรื่องเอาไว้เพื่อต่อสู้กับมหันตภัยที่กำลังคุกคามมนุษย์
สถานการณ์ตอนนี้จึงเป็นสถานการณ์ที่ควรจะรวมพลังคนไทยทั้งชาติเพื่อก้าวพ้นวิกฤตให้ได้ ซึ่งผมคิดว่า คนที่ความเห็นต่างทางการเมืองกับรัฐบาลและอำนาจรัฐในขณะนี้ก็เห็นพ้องต้องกันว่าเราจะต้องจับมือฝ่าฟันกันไปให้ได้ก่อน แล้วปัญหาการเมืองเราค่อยมาถกเถียงกันใหม่ว่า เราจะหาทางอย่างไรเพื่อให้ความขัดแย้งในชาติยุติลง
แน่นอนหลายเรื่องที่รัฐบาลทำอาจไม่ถูกใจเราทั้งหมด ผมเองก็บ่นอุบอิบกับความไม่ทันใจในการแก้ปัญหาสถานการณ์ของรัฐบาลในเฟซบุ๊กของตัวเอง ความล่าช้าในการควบคุมสถานการณ์ทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่สนามมวยลุมพินีจนกลายเป็นแหล่งระบาดใหญ่ที่ยากจะควบคุม หรือการชักเข้าชักออก การไม่มีเอกภาพในหน่วยงานรัฐที่แถลงขัดแย้งกันเองนั่นไม่ใช่เพราะผมมีอคติทางการเมืองกับรัฐบาล แต่เพราะผมห่วงใยประเทศชาติเช่นเดียวกัน
ผมก็พยายามเข้าใจนะครับว่า ภาวะแบบนี้เป็นภาวะที่ยากไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม คนวิจารณ์และติฉินนั้นทำได้ง่ายกว่าคนที่ลงมือปฏิบัติและเผชิญปัญหาอยู่เบื้องหน้า แต่เราก็มองเห็นปัญหาที่รัฐบาลต้องยอมรับนะครับว่า มีการจัดการที่ขาดเอกภาพในเบื้องต้น แทนที่รัฐบาลจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและแต่งตั้งผู้บัญชาการสถานการณ์ที่มีความสามารถมารับมือกับปัญหา ดูเหมือนอะไรต่ออะไรมันสะเปะสะปะไปหมด จะทำอะไรสักอย่างก็ล่าช้ามีขั้นตอนที่รุงรังราวกับว่า เราบริหารประเทศในสถานการณ์ปกติ
คือนายกฯ จะเป็นผู้บัญชาการสถานการณ์เสียเองก็ไม่ว่านะครับ แต่พอได้ยินนายกฯบอกว่าจะทำโน่นทำนี่ยังประกาศไม่ได้ต้องรอเข้า ครม.เสียก่อนในสถานการณ์แบบนี้ผมก็ละเหี่ยใจ และสิ่งสำคัญสำหรับผมตอนนี้ก็คือ หาทางให้เรารอดชีวิตและสูญเสียชีวิตน้อยที่สุด มากกว่าจะกังวลเรื่องกระทบทางเศรษฐกิจที่จะตามมาจากมาตรการที่รัฐบาลต้องใช้ จีดีพีปีนี้จะเหลือเท่าไหร่ก็ช่างมัน ผมคิดว่าไม่มีใครมาโทษรัฐบาลหรอก
แต่ก็ยอมรับนะครับว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้รัฐบาลรับมือได้ดีขึ้น แม้ส่วนตัวผมจะเห็นด้วยกับ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับประเด็นเชื้อไวรัส “โควิด-19” โดยระบุว่า ปิดต้องปิดแบบออสเตรีย 21 เพราะระยะฟักตัว 14 และเมื่อเกิดอาการที่ไม่มากหรือไม่รู้ตัว อาจไม่ต้องเข้า รพ. และหยุดแพร่เชื้อใน 20 วัน คนอาการชัด พาไปรักษา โดยให้คนออกจากบ้านเท่าที่จำเป็นตามสายอาชีพเกี่ยวกับสาธารณะ หรือไปซื้อสิ่งของเครื่องใช้ และต้องป้องกันตนเมื่อออกจากบ้าน
ผมคิดว่าเราต้องหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดให้ได้ก่อนหน่วยงานราชการไหนที่ไม่จำเป็นต้องบริการสาธารณะก็ควรจะให้ทำงานที่บ้านทั้งหมด และขอความร่วมมือจากภาคเอกชนด้วยซึ่งวันนี้ผมคิดว่า ทุกคนทุกฝ่ายพร้อมจะร่วมมือกันอยู่แล้ว โดยรัฐบาลต้องเป็นผู้นำในเรื่อง Social Distancing หรือ การรักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเป็นทางการ หลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนให้มากที่สุดให้ได้เสียก่อน
เชื่อว่าตอนนี้รัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีผู้เชี่ยวชาญอยู่รอบตัวและทุกคนพร้อมร่วมมือกัน เมื่อวานนี้เราเห็นนายกฯนั่งประชุมร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศ เช่น น.พ.ยง ภู่วรวรรณ น.พ.อุดม คชินทร และท่านอื่นๆ อาจมองว่า เรายังสามารถควบคุมสถานการณ์ไปได้ระดับหนึ่ง จำนวนที่เพิ่มขึ้นสูงในห้วงสัปดาห์นี้เกิดมาจากความผิดพลาดที่เราไม่ยับยั้งการชุมนุมของคนจำนวนมากอย่างที่สนามมวยลุมพินีที่เป็นความผิดพลาดที่จะต้องเอามาเป็นบทเรียน
ผมคิดว่า สถานการณ์ขณะนี้นั้นจำเป็นต้องการมืออาชีพที่รู้จริง คนที่สู้กับเชื้อโรคก็ควรจะเป็นหมอและบุคลากรทางการแพทย์ไม่ใช่นักการเมือง เชื่อว่า ประชาชนเชื่อมั่นรัฐบาลมากขึ้น เมื่อเห็นนายกฯ นั่งประชุมกับบุคลาการทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศ และอยากได้ยินแนวทางการแก้ปัญหาจากคนเหล่านี้มากกว่านักการเมือง
โดยนักการเมืองควรจะถอยออกมาก้าวหนึ่งเป็นเพียงผู้สนับสนุนการใช้อำนาจในฐานะที่ตัวเองถืออำนาจรัฐเอาไว้ในมือ
อย่างไรก็ตามผมคิดว่าเราเพียงแต่สามารถชะลอการเข้าสู่ระยะสามได้เท่านั้น วันหนึ่งระยะสามจะต้องมาแน่ไม่เกินหนึ่งเดือนสองเดือนนี้ตราบเท่าที่มนุษย์ยังไม่สามารถหายารักษาโรคมากำจัดมันได้ทันท่วงที เพราะอาจต้องใช้เวลาทดลองตามขั้นตอนอีกระยะหนึ่ง
แต่การที่รัฐบาลตัดสินใจให้ปิดสถานบันเทิง สนามมวย อาบอบนวด ฟิตเนส สนามม้า โรงภาพยนตร์ ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมทั้งห้ามจัดกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่ม 14 วัน ตั้งแต่ 18-31 มี.ค. เพื่อเป็นการป้องกัน ลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรคในสถานที่ต่างๆ ที่มีความเสี่ยงสูงก็ยังถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะน่าจะมีการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญแล้วว่า ทางออกนี้อาจเป็นการแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่งหลังจากที่ผิดพลาดมาแล้วจากกรณีของสนามมวยลุมพินี อย่างน้อยก็สะท้อนว่า รัฐบาลกำลังหามาตรการในการรับมือกับไวรัสโควิด-19 อย่างแข็งขัน
แม้ว่าสุดท้ายแล้วประเทศไทยก็ต้องเดินทางไปสู่การ lockdown ประเทศก็ตาม
แน่นอนว่า นายกรัฐมนตรีแต่ละคนนั้นมีแนวทางในการทำงานไม่เหมือนกัน แต่เราต้องยอมรับด้วยว่าภาวะวิกฤตที่เจอนั้นก็มีความแตกต่างกันด้วย ผมจึงไม่คิดว่าเราจะเอาใครมาเปรียบเทียบกับใครได้ ว่าถ้าคนนี้คนโน้นเป็นเขาจะทำอย่างไร
อย่างไรก็ตามถึงตอนนี้ข้อเสนอของฝ่ายค้านหรือคนที่เป็นคนละขั้วอำนาจของรัฐบาลก็ต้องรับฟัง แม้จะมีความเห็นที่เจือปนอคติอยู่หรือไม่ก็ตาม แต่เราต้องสังเคราะห์เอาความคิดดีของเขาออกมา ดังเช่นข้อเสนอของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อไม่กี่วันมานี้ เช่น เปิดเผยบันทึกการสอบสวนโรคในส่วนของรายละเอียดการเดินทาง การใช้ชีวิตในวัน เวลา และสถานที่ต่างๆ ของผู้ที่ติดเชื้อก่อนหน้านี้ (โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล) เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบจริงๆ เพื่อหาทางหลีกเลี่ยง
หรือข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยที่จะเสนอให้เปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อใช้เวทีสภาแก้ไขปัญหาร่วมกัน ก็ต้องรับฟังข้อเสนอแนะนำนี้ อย่าไปกลัวว่าเขาจะใช้เวทีสภาโจมตีรัฐบาลเลยครับ เพราะถ้าเขาทำอย่างนั้นฝ่ายที่เสียจะเป็นพรรคฝ่ายค้านเอง เพราะสังคมจะมองว่า แยกแยะไม่ได้ระหว่างปัญหาของประเทศกับปัญหาทางการเมือง
ผมคิดว่าวันนี้น้องๆ ลูกหลานนักศึกษา เขาก็หยุดที่จะพูดถึงข้อเรียกร้องของเขาในทางการเมืองไว้ก่อน ผมมองในแง่ดีว่าไม่ใช่เพราะเขากลัวโควิด แต่เขามีจิตสำนึกที่ดีที่คิดว่าอันไหนเป็นปัญหาเร่งร้อนของประเทศชาติ ผมมองว่า โอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดีที่รัฐบาลจะแสดงความสามารถให้คนในสังคมยอมรับว่า จะสามารถนำพาประเทศให้อยู่รอดในภาวะวิกฤตได้
ในอดีตแม้จีนจะเกิดสงครามกลางเมือง สู้รบกันระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง พรรคปกครองสาธารณรัฐจีนกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อแย่งชิงการควบคุมประเทศจีน จนกระทั่งเกิดสงครามกับญี่ปุ่น กองทัพทั้งสองจึงหันมาจับมือกันเพื่อทำการสู้รบกับญี่ปุ่น เมื่อขับไล่ญี่ปุ่นสำเร็จแล้ว จึงค่อยกลับมาทำสงครามกันใหม่จนพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นฝ่ายชนะจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน และฝ่ายก๊กมินตั๋ง ถอยไปอยู่ที่ไต้หวัน
พูดง่ายๆ ว่า เรามีเวลาอีกมากที่จะทะเลาะหรือขัดแย้งกัน สำหรับผมนั้นพูดเสมอว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าคุณจะเชื่ออุดมการณ์การเมืองแบบไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ถ้าคุณจะต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบหรืออุดมการณ์ของรัฐ คุณก็ต้องต่อสู้ช่วงชิงอำนาจรัฐและเขาก็มีความชอบธรรมที่จะจัดการกับคุณ ถ้าคุณทำลายศรัทธาของบุคคลอื่น คงที่เขาศรัทธาก็ต้องลุกขึ้นมาต่อต้าน โศกนาฏกรรม 6 ตุลาคม 2519 นั้นเป็นภาพจำลองของสถานการณ์นี้ได้ดี
ผมคิดว่าวันนี้ เราเห็นประสิทธิภาพของนายกรัฐมนตรีที่ออกจะไม่ทันอกทันใจอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่เวลาของการเปลี่ยนม้ากลางศึก และคิดว่า สถานการณ์วันนี้ทำให้เราต้องหันไปพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเข้ามาร่วมแก้ปัญหามากขึ้นและเราเห็นว่ารัฐบาลนี้กำลังจะเริ่มทำซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี แม้ว่าผมเองอาจจะบ่นพึมพำและติฉินบ้างเมื่อเห็นสิ่งที่ตัวเองคิดว่าไม่ใช่ก็ขอให้มองเป็นความปรารถนาดี
ตบท้ายด้วยบทกวีที่เขียนเอาไว้ในเฟซบุ๊กเมื่อหลายวันก่อน
เหมือนโลกทั้งโลกหยุดเคลื่อนไหว ความตายฉับไวใบไม้ร่วง
ฤามนุษย์พ่ายแพ้ยับทั้งยวง ไวรัสทวงโลกคืนอย่าฝืนชะตา
คนที่อ่อนแอกว่าย่อมแพ้พ่ายความตายใกล้แม้ไม่ปรารถนา
ธรรมชาติผู้คัดสรรผ่านเวลาคนยืนหยัดทายท้ากล้าฝ่าไป
จงตั้งจิตมุ่งมั่นจะฟันฝ่าแล้วเดินหน้าท้าฝันไม่หวั่นไหว
ความกลัวความพ่ายแพ้ยังห่างไกลถ้ายังไม่ลองสู้อย่ารู้กลัว
มนุษย์ไม่ได้มีเซลล์สมองแปดหมื่นสี่ไวรัสมีเท่าไหร่อยู่ในหัว
เพียงต่อสู้ไม่หวั่นไหวในใจตัว โรคพันพัวศึกนี้ไม่มีแพ้
ขอปิดท้ายด้วยการยืมคำพูดลุงตู่ว่า สวัสดีครับขอให้ประเทศไทยชนะ
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan