** ต้องบอกว่าช่วงเวลานี้ประเทศไทยกำลังก้าวมาถึงจุดสำคัญที่ต้องลุ้นกันว่า ผลการตรวจเชื้อไวรัส “โควิด-19”จากผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการป่วยด้วยโรคดังกล่าวมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะจาก “สนามมวย”ที่มีดารา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา นายทหาร โฆษกรายการ ที่มีผลตรวจจากแพทย์ยืนยันไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ก็มีการยืนยันตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาอีกจำนวน 30 คน
จากการแถลงของ น.พ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่า ผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ จำนวน 30 ราย แบ่งเป็นกลุ่มที่มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยหรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จำนวน 14 ราย ได้แก่ กลุ่มสนามมวย ทั้งราชดำเนิน ลุมพินีอ้อมน้อย จำนวน 11 ราย กลุ่มสถานบันเทิง 1 ราย และกลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยกลุ่มเก่า 2 ราย และ ผู้ป่วยรายใหม่จำนวน 16 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ทั้งที่เป็นชาวต่างชาติ และเป็นคนไทย รวมไปถึงคนไทยที่ทำงานใกล้ชิดกับคนต่างชาติ
และที่น่าจับตาก็คือ การแถลงของปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็คือ เวลานี้กำลังรอผลสอบสวนโรคเพิ่มเติม 6 ราย และการรอผลยืนยันทางห้องปฏิบัติการอีก 22 ราย โดยสรุปยอดผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 177 ราย รักษาหาย 41 รายเสียชีวิต 1 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 135 ราย และมีอาการหนัก 1 ราย
**หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ในระยะสองวันมานี้ ที่ทำให้ยอดตัวเลขพุ่งพรวดขึ้นมา ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการเข้าร่วมกิจกรรมใน “สนามมวย”ทั้งสิ้น แทบทุกรายที่ติดเชื้อล้วนชุมนุมในสถานที่ดังกล่าว แล้วแพร่กระจายหมุนเวียนออกไป หลายคนเชื่อมโยงไปแทบทุกสนาม ทำให้น่ากังวลว่า ยังมีผู้ที่ติดเชื้อแต่ยังไม่แสดงอาการอีกจำนวนเท่าไหร่
หลังจากก่อนหน้านี้ เคยมีการวิตกกังวลกับกลุ่ม “เที่ยวผับ”ที่มีการติดเชื้อ ติดต่อกันเป็น “กลุ่ม”ที่มีการใช้แก้วเดียวกับ สูบบุหรี่มวนเดียวกัน มีการสัมผัสใกล้ชิดกัน เพราะคราวนั้นมีการติดเชื้อพร้อมกันถึง 11 คน และยังเกิดผลเชื่อมโยงไปยังคนอื่นที่สัมผัสใกล้ชิด ต่อเนื่องไปจนถึงคนในครอบครัวที่ติดเชื้อเป็นวงกว้าง และยังมีการกักตัวเฝ้าระวังอีกจำนวนหนึ่ง
แต่สำหรับในกรณีของ “กลุ่มสนามมวย”ถือว่าน่าวิตกกังวลกว่า เพราะมีคนเข้าร่วมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน พร้อมกับนับหมื่นคน และ“เซียนมวย” หรือผู้ชมมวยเหล่านี้ มักจะเคลื่อนย้ายเดินทางไปชมแทบทุกสนาม ดังข้อมูลที่มีการแถลงออกมา มีการระบุนอกจากสนามมวยลุมพินีแล้ว ยังมี สนามมวยราชดำเนิน รวมทั้งสนามอื่นๆ อีกด้วย
ที่ผ่านมาเมื่อมีการยืนยันว่า มีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากสนามมวย ไม่ว่าจะเป็นดารา นายทหารที่เป็นนายสนามมวยลุมพินี (เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา ทำให้เกิดความหวั่นวิตกกันไปทั่ว บุคคลที่สัมผัสใกล้ชิดกันจะมีการติดเชื้อจำนวนมากแค่ไหน เพราะล่าสุดจากการแถลงของปลัดกระทรวงสาธารณสุข ก็ยืนยันตัวเลขว่า มีผู้ติดเชื่อที่มาจาก “กลุ่มสนามมวย”ถึง 11 คน
คำถามก็คือ ในทางการแพทย์ที่ยืนยันว่าระยะฟักเชื้อต้องใช้เวลาประมาณ 14 วัน หรือกว่าสองสัปดาห์ ทำให้ต้องรอลุ้นกันว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดเท่าใดกันแน่ และสามารถนำมากักตัว หรือมีการกักตัวโดยสมัครใจ รวมไปถึงสามารถติดตามตัวได้มากน้อยแค่ไหน
เพราะกรณีที่เกิดขึ้นในสนามมวยดังกล่าว ทำให้อดไม่ได้ที่ต้องหวนกลับไปนึกถึง กรณี “โบสถ์ชินซอนจี”เมืองแทกู ของเกาหลีใต้ ที่เป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดใหญ่ของที่นั่น เพราะมีคนติดเชื้อตามมานับพันคน
สำหรับประเทศไทย แม้ว่าอาจไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้น แต่หากมีการแพร่เชื้อ หรือรับเชื้อพร้อมกันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงการไม่สามารถกักตัวได้ทั้งหมดมันก็น่าห่วงเหมือนกัน เพราะระยะฟักเชื้อ 14 วัน ตอนนี้ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปว่า ผลการตรวจเชื้อคงต้องออกมาเป็นลบ ไม่ใช่เป็นบวกที่บ่งบอกว่าเป็นการติดเชื้อร้าย
**อย่างไรก็ดี แม้ว่าเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มแล้วการแพร่ระบาดอาจจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น แต่เมื่อพิจารณาจากการตื่นตัว มีการเตรียมมาตรการรับมือภายใต้การเสนอแนะทางการแพทย์ ก็ถือว่ายังเบาใจได้ระดับหนึ่ง ที่สำคัญก็ต้องร่วมใจกันถึงจะฝ่าฟันไปได้ !!
จากการแถลงของ น.พ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุว่า ผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ จำนวน 30 ราย แบ่งเป็นกลุ่มที่มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยหรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จำนวน 14 ราย ได้แก่ กลุ่มสนามมวย ทั้งราชดำเนิน ลุมพินีอ้อมน้อย จำนวน 11 ราย กลุ่มสถานบันเทิง 1 ราย และกลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยกลุ่มเก่า 2 ราย และ ผู้ป่วยรายใหม่จำนวน 16 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ทั้งที่เป็นชาวต่างชาติ และเป็นคนไทย รวมไปถึงคนไทยที่ทำงานใกล้ชิดกับคนต่างชาติ
และที่น่าจับตาก็คือ การแถลงของปลัดกระทรวงสาธารณสุขก็คือ เวลานี้กำลังรอผลสอบสวนโรคเพิ่มเติม 6 ราย และการรอผลยืนยันทางห้องปฏิบัติการอีก 22 ราย โดยสรุปยอดผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 177 ราย รักษาหาย 41 รายเสียชีวิต 1 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 135 ราย และมีอาการหนัก 1 ราย
**หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ในระยะสองวันมานี้ ที่ทำให้ยอดตัวเลขพุ่งพรวดขึ้นมา ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการเข้าร่วมกิจกรรมใน “สนามมวย”ทั้งสิ้น แทบทุกรายที่ติดเชื้อล้วนชุมนุมในสถานที่ดังกล่าว แล้วแพร่กระจายหมุนเวียนออกไป หลายคนเชื่อมโยงไปแทบทุกสนาม ทำให้น่ากังวลว่า ยังมีผู้ที่ติดเชื้อแต่ยังไม่แสดงอาการอีกจำนวนเท่าไหร่
หลังจากก่อนหน้านี้ เคยมีการวิตกกังวลกับกลุ่ม “เที่ยวผับ”ที่มีการติดเชื้อ ติดต่อกันเป็น “กลุ่ม”ที่มีการใช้แก้วเดียวกับ สูบบุหรี่มวนเดียวกัน มีการสัมผัสใกล้ชิดกัน เพราะคราวนั้นมีการติดเชื้อพร้อมกันถึง 11 คน และยังเกิดผลเชื่อมโยงไปยังคนอื่นที่สัมผัสใกล้ชิด ต่อเนื่องไปจนถึงคนในครอบครัวที่ติดเชื้อเป็นวงกว้าง และยังมีการกักตัวเฝ้าระวังอีกจำนวนหนึ่ง
แต่สำหรับในกรณีของ “กลุ่มสนามมวย”ถือว่าน่าวิตกกังวลกว่า เพราะมีคนเข้าร่วมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน พร้อมกับนับหมื่นคน และ“เซียนมวย” หรือผู้ชมมวยเหล่านี้ มักจะเคลื่อนย้ายเดินทางไปชมแทบทุกสนาม ดังข้อมูลที่มีการแถลงออกมา มีการระบุนอกจากสนามมวยลุมพินีแล้ว ยังมี สนามมวยราชดำเนิน รวมทั้งสนามอื่นๆ อีกด้วย
ที่ผ่านมาเมื่อมีการยืนยันว่า มีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากสนามมวย ไม่ว่าจะเป็นดารา นายทหารที่เป็นนายสนามมวยลุมพินี (เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา ทำให้เกิดความหวั่นวิตกกันไปทั่ว บุคคลที่สัมผัสใกล้ชิดกันจะมีการติดเชื้อจำนวนมากแค่ไหน เพราะล่าสุดจากการแถลงของปลัดกระทรวงสาธารณสุข ก็ยืนยันตัวเลขว่า มีผู้ติดเชื่อที่มาจาก “กลุ่มสนามมวย”ถึง 11 คน
คำถามก็คือ ในทางการแพทย์ที่ยืนยันว่าระยะฟักเชื้อต้องใช้เวลาประมาณ 14 วัน หรือกว่าสองสัปดาห์ ทำให้ต้องรอลุ้นกันว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดเท่าใดกันแน่ และสามารถนำมากักตัว หรือมีการกักตัวโดยสมัครใจ รวมไปถึงสามารถติดตามตัวได้มากน้อยแค่ไหน
เพราะกรณีที่เกิดขึ้นในสนามมวยดังกล่าว ทำให้อดไม่ได้ที่ต้องหวนกลับไปนึกถึง กรณี “โบสถ์ชินซอนจี”เมืองแทกู ของเกาหลีใต้ ที่เป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดใหญ่ของที่นั่น เพราะมีคนติดเชื้อตามมานับพันคน
สำหรับประเทศไทย แม้ว่าอาจไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้น แต่หากมีการแพร่เชื้อ หรือรับเชื้อพร้อมกันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงการไม่สามารถกักตัวได้ทั้งหมดมันก็น่าห่วงเหมือนกัน เพราะระยะฟักเชื้อ 14 วัน ตอนนี้ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปว่า ผลการตรวจเชื้อคงต้องออกมาเป็นลบ ไม่ใช่เป็นบวกที่บ่งบอกว่าเป็นการติดเชื้อร้าย
**อย่างไรก็ดี แม้ว่าเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มแล้วการแพร่ระบาดอาจจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น แต่เมื่อพิจารณาจากการตื่นตัว มีการเตรียมมาตรการรับมือภายใต้การเสนอแนะทางการแพทย์ ก็ถือว่ายังเบาใจได้ระดับหนึ่ง ที่สำคัญก็ต้องร่วมใจกันถึงจะฝ่าฟันไปได้ !!
