การจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้บัญชาการศูนย์ โดยใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นศูนย์กลางในการประชุมสั่งการ
โดยเมื่อวานนี้ (11มี.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เรียกประชุมด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่ากระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อบูรณาการในการควบคุมและแก้ปัญหา มีรัฐมนตรีคนสำคัญจากพรรคร่วมรัฐบาล และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาจากโรคระบาดดังกล่าวอย่างพร้อมเพรียง เช่น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมไปถึงผู้บริหารระดับสูงของแต่ละกระทรวง เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงเป็นคณะชุดใหญ่ใน“แบบครบวงจร”เป็นครั้งแรก
ก่อนหน้านี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลด้านกฎหมาย อธิบายว่าศูนย์ดังกล่าวที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บัญชาการศูนย์นั้น ตั้งขึ้นมาเพื่อครอบคลุมศูนย์ที่เคยตั้งมาก่อนหน้านี้ เช่น ศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ที่ทำเนียบฯ และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข ที่ยังไม่สามารถทำให้เป็นเอกภาพได้ และบางเรื่องจำเป็นต้องสั่งการโดยเร็ว ซึ่งสองศูนย์ดังกล่าวทำไม่ได้
" จึงต้องเอาศูนย์ใหญ่มาครอบ และมันมีเรื่องแรงงานไทยที่กลับจากเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่นอกเหนือสองศูนย์ที่จะรับมือได้ โดยศูนย์นี้จะดูภาพรวมของนโยบาย” นายวิษณุ อธิบายให้เห็นภาพ อีกทั้งยังระบุว่า การตั้งศูนย์ใหญ่นี้ขึ้นมาเพื่อเตรียมรองรับการแพร่ระบาดของโรคเข้าสู่ระยะที่ 3 อีกด้วย เพราะเป็นการยกระดับ
แม้ว่า รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายผู้นี้จะย้ำว่า ที่ผ่านมาประทศไทยยังสามารถรับมือการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวได้ดีก็ตาม แต่ก็ต้องเตรียมการรับมือเอาไว้ล่วงหน้า เนื่องจากเห็นแนวโน้มตัวเลขของผู้ติดเชื้อเริ่มสูงขึ้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข กำลังมีการปรับแนวทางการรับมืออยู่
หากพิจารณาจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว นั่นคือการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้ามาเป็นผู้บัญชาการศูนย์ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในครั้งนี้ หากมองในทางการเมือง มันก็เหมือนกับการแก้เกม หลังจากก่อนหน้านี้รัฐบาลถูกโจมตีในเรื่องการรับมือการแก้ปัญหาโรคระบาดอย่างสะเปะสะปะ ขาดความแน่ชัด
** สรุปก็คือไม่เข้าตา ล้มเหลวในสายตาประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับมือกับ “ผีน้อย”หรือคนไทยที่ไปทำงานแบบผิดกฎหมายในประเทศเกาหลีใต้ ที่ทยอยเดินทางกลับประเทศในช่วงเวลานี้
รวมไปถึงกรณีการขาดแคลนและการขาย “หน้ากากอนามัย”เกินราคา ซึ่งรัฐบาลกำลังถูกโจมตีอย่างหนักในเวลานี้ และหากกล่าวโดยสรุปก็คือ รัฐบาลกำลังถูกโจมตีว่าการแก้ปัญหาในการรับมือกับโรคระบาดดังกล่าวถือว่า ล้มเหลว ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำลังอยู่ภาวะเสื่อมศรัทธา ถูกวิจารณ์โจมตีมาจากรอบทิศทางเป็นครั้งแรก ทำให้อาจเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขากำลังถูกพิสูจน์ว่าจะได้ไปต่อหรือไม่
อย่างไรก็ดี การเป็นผู้บัญชาการศูนย์ฯและใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นศูนย์กลางการบัญชาการแบบรวมศูนย์การสั่งการแบบเบ็ดเสร็จ เหมือนกับการโดดลงมา “คุมเอง”เป็นการแก้เกมในการแก้ปัญหาให้ทันท่วงที เพื่อลดแรงกดดันจากสังคมรอบข้าง อีกทั้งยังเป็นการหวังผลทางการเมืองในการฟื้นศรัทธากลับคืนมา แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมันก็เหมือน “เกมเสี่ยง” ที่หากลงมาเล่นเองแล้วยังล้มเหลวอีก มันก็อาจจบเห่ได้เหมือนกัน
** แต่นาทีนี้สถานการณ์มันบังคับไม่มีทางเลือกแล้ว ต้องเสี่ยงเอง อะไรประมาณนั้น !!
โดยเมื่อวานนี้ (11มี.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เรียกประชุมด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่ากระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อบูรณาการในการควบคุมและแก้ปัญหา มีรัฐมนตรีคนสำคัญจากพรรคร่วมรัฐบาล และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาจากโรคระบาดดังกล่าวอย่างพร้อมเพรียง เช่น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมไปถึงผู้บริหารระดับสูงของแต่ละกระทรวง เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียงเป็นคณะชุดใหญ่ใน“แบบครบวงจร”เป็นครั้งแรก
ก่อนหน้านี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลด้านกฎหมาย อธิบายว่าศูนย์ดังกล่าวที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บัญชาการศูนย์นั้น ตั้งขึ้นมาเพื่อครอบคลุมศูนย์ที่เคยตั้งมาก่อนหน้านี้ เช่น ศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ที่ทำเนียบฯ และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข ที่ยังไม่สามารถทำให้เป็นเอกภาพได้ และบางเรื่องจำเป็นต้องสั่งการโดยเร็ว ซึ่งสองศูนย์ดังกล่าวทำไม่ได้
" จึงต้องเอาศูนย์ใหญ่มาครอบ และมันมีเรื่องแรงงานไทยที่กลับจากเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่นอกเหนือสองศูนย์ที่จะรับมือได้ โดยศูนย์นี้จะดูภาพรวมของนโยบาย” นายวิษณุ อธิบายให้เห็นภาพ อีกทั้งยังระบุว่า การตั้งศูนย์ใหญ่นี้ขึ้นมาเพื่อเตรียมรองรับการแพร่ระบาดของโรคเข้าสู่ระยะที่ 3 อีกด้วย เพราะเป็นการยกระดับ
แม้ว่า รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายผู้นี้จะย้ำว่า ที่ผ่านมาประทศไทยยังสามารถรับมือการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวได้ดีก็ตาม แต่ก็ต้องเตรียมการรับมือเอาไว้ล่วงหน้า เนื่องจากเห็นแนวโน้มตัวเลขของผู้ติดเชื้อเริ่มสูงขึ้น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข กำลังมีการปรับแนวทางการรับมืออยู่
หากพิจารณาจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว นั่นคือการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้ามาเป็นผู้บัญชาการศูนย์ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในครั้งนี้ หากมองในทางการเมือง มันก็เหมือนกับการแก้เกม หลังจากก่อนหน้านี้รัฐบาลถูกโจมตีในเรื่องการรับมือการแก้ปัญหาโรคระบาดอย่างสะเปะสะปะ ขาดความแน่ชัด
** สรุปก็คือไม่เข้าตา ล้มเหลวในสายตาประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับมือกับ “ผีน้อย”หรือคนไทยที่ไปทำงานแบบผิดกฎหมายในประเทศเกาหลีใต้ ที่ทยอยเดินทางกลับประเทศในช่วงเวลานี้
รวมไปถึงกรณีการขาดแคลนและการขาย “หน้ากากอนามัย”เกินราคา ซึ่งรัฐบาลกำลังถูกโจมตีอย่างหนักในเวลานี้ และหากกล่าวโดยสรุปก็คือ รัฐบาลกำลังถูกโจมตีว่าการแก้ปัญหาในการรับมือกับโรคระบาดดังกล่าวถือว่า ล้มเหลว ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำลังอยู่ภาวะเสื่อมศรัทธา ถูกวิจารณ์โจมตีมาจากรอบทิศทางเป็นครั้งแรก ทำให้อาจเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขากำลังถูกพิสูจน์ว่าจะได้ไปต่อหรือไม่
อย่างไรก็ดี การเป็นผู้บัญชาการศูนย์ฯและใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นศูนย์กลางการบัญชาการแบบรวมศูนย์การสั่งการแบบเบ็ดเสร็จ เหมือนกับการโดดลงมา “คุมเอง”เป็นการแก้เกมในการแก้ปัญหาให้ทันท่วงที เพื่อลดแรงกดดันจากสังคมรอบข้าง อีกทั้งยังเป็นการหวังผลทางการเมืองในการฟื้นศรัทธากลับคืนมา แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมันก็เหมือน “เกมเสี่ยง” ที่หากลงมาเล่นเองแล้วยังล้มเหลวอีก มันก็อาจจบเห่ได้เหมือนกัน
** แต่นาทีนี้สถานการณ์มันบังคับไม่มีทางเลือกแล้ว ต้องเสี่ยงเอง อะไรประมาณนั้น !!