โรคระบาดโนเวล โคโรนาไวรัส ยังคงสร้างความโกลาหลปนความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับมนุษยชาติอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในยุคสมัยใหม่ แม้กระทั่งโรคซาร์ส เมอร์ส หรืออีโบลาซึ่งร้ายแรงกว่า ก็ยังไม่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเท่าเชื้อโรคตัวใหม่นี้
ที่เห็นชัดคือเศรษฐกิจทั่วโลกแทบหยุดชะงัก ตลาดหุ้นสูญเสียความมั่งคั่งหลายล้านล้านดอลลาร์ทั่วโลก อารมณ์ตื่นตระหนกของนักลงทุนทำให้ราคาหุ้นขึ้นๆ ลงๆ ผันผวนตามสภาวะที่เปลี่ยนแปลง ทั้งๆ ที่ยอดผู้เสียชีวิตโดยรวมยังไม่ถึง 5 พันคนด้วยซ้ำ
ผ่านมาประมาณ 2 เดือน คนรวยหุ้นต้องยอมรับความมั่งคั่งที่หายไปอย่างมาก ทำให้ทองคำมีราคาขยับขึ้น ราคาน้ำมันตกหลายดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะสงครามตัดราคาระหว่างซาอุดีอาระเบีย กับรัสเซีย เมื่อตกลงกันไม่ได้เรื่องลดการผลิตเพื่อพยุงราคา
ผลกระทบครั้งนี้มากกว่าวิกฤตเศรษฐกิจ การเงินในยุคต้มยำกุ้งและแฮมเบอร์เกอร์ เพราะครั้งนี้เป็นเรื่องความเป็นความตายของชีวิตมนุษย์จากโรคร้ายซึ่งยังไม่มีวัคซีนป้องกันและรักษา ราคาน้ำมันตกต่ำมากที่สุดในรอบหลายปี บริษัทขาดรายได้มหาศาล
เดิมพันสูงที่สุดคือผู้ผลิตน้ำมันจากการสกัดหินดินดาน หรือ Shale ในสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ตลาดน้ำมันมีปริมาณเหนือการควบคุม ก่อนหน้านี้ผู้ผลิตกลุ่มนี้ต้องหยุดเมื่อราคาตกเพราะพิษของวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ครั้งนี้ พวกนี้จะดิ้นรน แย่งตลาดเพื่อให้อยู่รอดหรือไม่
ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันถูกลงได้นานแค่ไหนต้องรอดูเช่นกัน ครั้งนี้เป็นสงครามโดยตรงระหว่างซาอุฯ กับรัสเซีย ซึ่งดูแล้วยังไม่มีใครยอมใคร
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะยืดเยื้อเรื้อรังหรือไม่ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการระบาด กว่าจะให้ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3 เดือน ขณะนี้มีการประมาณการว่า วิกฤตนี้จะลากยาวไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน หรือไตรมาส 3 ของปีนี้
ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องร้ายทั้งหมด สถานการณ์ในจีนและเกาหลีใต้เริ่มเห็นแนวโน้มดีขึ้น เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราลดลง โรงพยาบาลเฉพาะกิจมากกว่า 10 แห่งในเมืองอู่ฮั่นถูกปิดเพราะไม่มีจำนวนคนป่วยเพิ่ม ร้านค้าเริ่มทยอยเปิดกิจการ
ทั้งนี้เป็นเพราะรัฐบาลจีนได้ทุ่มทรัพยากรมหาศาลทุกด้าน พร้อมมาตรการเข้มงวด รวมทั้งการปิดเมืองอู่ฮั่นและอีกหลายเมืองในมณฑลหูเป่ย ซึ่งหลายประเทศกระทำไม่ได้ ทำให้ประเทศที่มีพลเมือง 1.3 พันล้านคนมีผู้ป่วยไม่ถึง 1 แสนคน
ยอดผู้เสียชีวิตโดยรวมไม่ถึง 5 พันคน รักษาหายแล้วก็มีมากกว่าครึ่งของผู้ป่วย ทำให้ถูกมองว่าประชาชนไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะโรคนี้เป็นแล้วรักษาหายได้
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงได้ไปเยือนอู่ฮั่น เพื่อแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ในเมืองที่เป็นต้นตอของการระบาด สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก อยู่ในสภาพที่ควบคุมได้แล้ว
แต่สถานการณ์พลิกกลับไปรุนแรงในประเทศอื่นๆ เช่นอิหร่าน และลามไปทั่วประชาคมยุโรป โดยมีอิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส สเปน มียอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้น การระบาดในยุโรปยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถึงขั้นที่รัฐบาลอิตาลีสั่งปิดประเทศซึ่งมีประชากร 60 ล้านคน
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลปิดแคว้นลอมบาร์ดี ซึ่งมีมิลาน และเวนิส เป็นเมืองหลัก รวมประชากร 16 ล้านคน แต่เอาไม่อยู่ ทำให้ต้องปิดทั้งประเทศ รัฐบาลสั่งให้ประชาชนอยู่ในบ้าน โดยการขายสินค้า อาหาร ยังมีตามปกติ ร้านค้าต้องปิดในเวลา 18 นาฬิกา
กิจกรรมต่างๆ ทั้งกีฬาถูกยกเลิก หรือแข่งขันโดยไม่มีผู้เข้าชม ความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่ต้องพูดถึง รอดูว่าจะระงับการระบาดเมื่อไหร่แล้วค่อยประเมิน
การปิดประเทศอิตาลีจะได้ผลเหมือนในจีนหรือไม่ เพราะการควบคุมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยังมีการเดินทางเข้าออกผ่านสนามบินและรถไฟ ต่างจากจีนซึ่งห้ามคนเข้าออกเด็ดขาด ยุโรปอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศไม่หนาวจัด คนยังออกมาเดินนอกบ้านได้
ยุโรปตะวันตก ตะวันออก สแกนดิเนเวีย และประเทศแถบบอลข่านก็ไม่รอด ในตะวันออกกลางก็มีการระบาด ที่สาหัสกว่าใครในย่านนั้นคืออิหร่าน เพราะผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ละตินอเมริกาก็ไม่รอดเช่นกัน เพียงแต่ตัวเลขการระบาดยังไม่สูง
ในสหรัฐอเมริกา ประชาชนเริ่มซื้อสินค้า ของใช้จำเป็น อาหารกระป๋อง เพราะไม่มั่นใจว่าถ้ามีมาตรการปิดเมือง จะลำบากอย่างไร ซานฟรานซิสโก นิวยอร์กก็ประกาศภาวะฉุกเฉิน ถ้าการระบาดยังมีต่อเนื่อง จะซ้ำเติมการระบาดของไข้หวัดใหญ่ขณะนี้
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่าคนอเมริกันเสียชีวิตแต่ละปีด้วยไข้หวัดใหญ่หลายหมื่นราย ไม่มีใครตื่นเต้น ไวรัสโควิด-19 ทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตเพียง 500 กว่าคน ไม่ควรจะตื่นตระหนก คำรับประกันของทรัมป์ไม่ทำให้คนอเมริกันมีความรู้สึกดีขึ้น
มี ส.ส. ส.ว. พรรครีพับลิกันติดเชื้อ ยืนยันแล้วอย่างน้อย 6 ราย และทรัมป์ก็ไปใกล้ชิด 1 ในนั้นด้วย ทำให้คนเริ่มถามว่าตัวทรัมป์เองได้ไปตรวจอาการหรือไม่ และจะกักตัวเองเหมือนคนอื่นๆ ที่สงสัยว่าจะมีเชื้อหรือไม่ด้วย แม้แต่รองฯ ไมค์ เพนซ์ ก็ถูกถาม
การขาดแคลนหน้ากากอนามัย เกิดขึ้นเกือบทุกประเทศที่มีการระบาด แม้แต่ในสหรัฐฯ และยุโรป ก็อยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน รัฐบาลไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ต้องสั่งให้เร่งผลิตแล้วแจกหน้ากากให้ประชาชนหลังจากโรงพยาบาล และบุคลากรได้มีใช้เพียงพอ
นอกจากหน้ากากอนามัย เจล แอลกอฮอล์ล้างมือ ก็เริ่มขาด ในสหรัฐฯ อังกฤษ และออสเตรเลีย คนแตกตื่นซื้อกระดาษชำระทุกประเภท จนไม่เหลือค้างหิ้งโดยเฉพาะในอังกฤษ เหมือนเป็นผลด้านจิตวิทยาว่า การมีไว้ใช้ก่อนยังดีกว่าหาซื้อไม่ได้
ในสหรัฐฯ มีคำแนะนำให้เก็บอาหาร และสิ่งของจำเป็น รวมทั้งกระดาษทิชชู่ให้เพียงพอ อาจเป็น 2 สัปดาห์จนถึง 2 เดือน ทำให้คนแย่งกันซื้อจนผลิตไม่ทันเช่นกัน
ดังนั้น สิ่งที่ขาดแคลนนอกเหนือจากหน้ากากอนามัน เจลล้างมือ ก็คือกระดาษชำระ ฝรั่งมองว่าถ้าไม่มีกระดาษทิชชู่ใช้ในบ้านแล้วชีวิตขาดสิ่งของจำเป็นอย่างยิ่ง