ผู้จัดการรายวัน360-"พาณิชย์"สวมบทโหด งัดกฎหมายบริหารจัดการสินค้าควบคุมในภาวะวิกฤต สั่งหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้ทุกชิ้นหรือยอดล่าสุด 38 ล้านชิ้น ต้องส่งเข้าศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยของกระทรวงพาณิชย์ทั้งหมด เพื่อนำมาบริหารจัดการเอง พร้อมออกประกาศ กกร. สั่งทุกคนที่มีหน้ากาก แจ้งปริมาณครอบครอง ป้องกันการกักตุน เร่งประสานดีอีเอสตามจับพวกขายออนไลน์โก่งราคาเข้าคุก ไม่เว้นกระทั่งแพลตฟอร์มออนไลน์ อี-มาร์เก็ตเพลส ที่ปล่อยให้โพสต์ขายแพง เจอเล่นงานด้วย
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมวอร์รูมหน้ากากอนามัย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนว่า ตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.2563 เป็นต้นไป หน้ากากอนามัยทุกชิ้นที่โรงงานผลิตได้ หรือประมาณ 38 ล้านชิ้น จะต้องนำเข้าสู่ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย ของกระทรวงพาณิชย์ทั้งหมด จากก่อนหน้านี้ ที่ปันส่วนเข้าศูนย์ประมาณ 40-45% เพื่อให้ศูนย์ฯ สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ไม่ถือว่า เป็นการแทรกแซงการทำธุรกิจปกติของภาคเอกชน เพราะพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ให้อำนาจกระทรวงพาณิชย์เต็มที่ในการบริหารจัดการสินค้าควบคุมภายใต้ภาวะวิกฤติ ส่วนเมื่อนำมาทั้งหมด 100% แล้ว โรงงานจะสามารถทำการค้าได้ตามปกติหรือไม่นั้น อยู่ที่การพิจารณากันในศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย
"ที่ผ่านมา กรมการค้าภายในได้ขอปันส่วนจากผู้ผลิตทั้ง 11 แห่งในสัดส่วนไม่เกิน 45% ของกำลังการผลิต เพื่อมากระจายต่อให้กับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ก่อน อย่างโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ และส่งให้ร้านสะดวกซื้อ ร้านธงฟ้าทั่วประเทศ เพื่อขายสู่ประชาชน ส่วนที่เหลือ โรงงานไปขายเองตามช่องทางการค้าปกติ เช่น ขายให้กับลูกค้าต่างๆ แต่กลับพบว่า มีการประกาศขายตามสื่อโซเชียลจำนวนมาก ทำให้ผู้จำเป็นต้องใช้จริงๆ ไม่ได้ใช้ จึงต้องเข้ามาบริหารจัดการเอง"
นอกจากนี้ จะเสนอให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เป็นประธาน พิจารณาออกประกาศ กกร. กำหนดให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่มีหน้ากากอนามัยในครอบครองเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ต้องแจ้งปริมาณการครอบครองต่อกรมการค้าภายใน ตามมาตรา 30 พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ โดยจะเสนอให้ กกร. พิจารณาโดยเร็วที่สุด หากไม่แจ้ง จะมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากเดิมที่ กกร. กำหนดให้เฉพาะผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า ต้องแจ้งปริมาณที่มีในครอบครอง
นายบุณยฤทธิ์กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาผู้ค้าหน้ากากอนามัยเกินราคาผ่านทางออนไลน์ ได้ขอความร่วมมือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในการตรวจสอบเพื่อให้ถึงตัวผู้กระทำผิดผ่านสื่อโซเชียลแล้ว และเมื่อจับกุมได้ จะส่งดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด โดยจะมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะเดียวกัน เจ้าของแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซทุกราย ที่มีผู้ขายหน้ากากอนามัยเข้าไปค้ากำไรเกินควร จะเข้าข่ายมีความผิดฐานค้ากำไรเกินควรด้วย โดยมีความผิดฐานเดียวกันกับผู้ค้า รวมถึงผู้ที่เป็นอี-มาร์เก็ตเพลส และเปิดให้ผู้ขายมาโพสต์ขายสินค้าและมีผู้ซื้อเข้ามาซื้อสินค้า ก็เสี่ยงมีความผิดกฎหมายอาญา หากพบการกระทำความผิดจะถูกดำเนินการขั้นเด็ดขาดเช่นเดียวกัน
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมวอร์รูมหน้ากากอนามัย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนว่า ตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.2563 เป็นต้นไป หน้ากากอนามัยทุกชิ้นที่โรงงานผลิตได้ หรือประมาณ 38 ล้านชิ้น จะต้องนำเข้าสู่ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย ของกระทรวงพาณิชย์ทั้งหมด จากก่อนหน้านี้ ที่ปันส่วนเข้าศูนย์ประมาณ 40-45% เพื่อให้ศูนย์ฯ สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ไม่ถือว่า เป็นการแทรกแซงการทำธุรกิจปกติของภาคเอกชน เพราะพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ให้อำนาจกระทรวงพาณิชย์เต็มที่ในการบริหารจัดการสินค้าควบคุมภายใต้ภาวะวิกฤติ ส่วนเมื่อนำมาทั้งหมด 100% แล้ว โรงงานจะสามารถทำการค้าได้ตามปกติหรือไม่นั้น อยู่ที่การพิจารณากันในศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย
"ที่ผ่านมา กรมการค้าภายในได้ขอปันส่วนจากผู้ผลิตทั้ง 11 แห่งในสัดส่วนไม่เกิน 45% ของกำลังการผลิต เพื่อมากระจายต่อให้กับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ก่อน อย่างโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ และส่งให้ร้านสะดวกซื้อ ร้านธงฟ้าทั่วประเทศ เพื่อขายสู่ประชาชน ส่วนที่เหลือ โรงงานไปขายเองตามช่องทางการค้าปกติ เช่น ขายให้กับลูกค้าต่างๆ แต่กลับพบว่า มีการประกาศขายตามสื่อโซเชียลจำนวนมาก ทำให้ผู้จำเป็นต้องใช้จริงๆ ไม่ได้ใช้ จึงต้องเข้ามาบริหารจัดการเอง"
นอกจากนี้ จะเสนอให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เป็นประธาน พิจารณาออกประกาศ กกร. กำหนดให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่มีหน้ากากอนามัยในครอบครองเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ต้องแจ้งปริมาณการครอบครองต่อกรมการค้าภายใน ตามมาตรา 30 พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ โดยจะเสนอให้ กกร. พิจารณาโดยเร็วที่สุด หากไม่แจ้ง จะมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากเดิมที่ กกร. กำหนดให้เฉพาะผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า ต้องแจ้งปริมาณที่มีในครอบครอง
นายบุณยฤทธิ์กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาผู้ค้าหน้ากากอนามัยเกินราคาผ่านทางออนไลน์ ได้ขอความร่วมมือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในการตรวจสอบเพื่อให้ถึงตัวผู้กระทำผิดผ่านสื่อโซเชียลแล้ว และเมื่อจับกุมได้ จะส่งดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด โดยจะมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะเดียวกัน เจ้าของแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซทุกราย ที่มีผู้ขายหน้ากากอนามัยเข้าไปค้ากำไรเกินควร จะเข้าข่ายมีความผิดฐานค้ากำไรเกินควรด้วย โดยมีความผิดฐานเดียวกันกับผู้ค้า รวมถึงผู้ที่เป็นอี-มาร์เก็ตเพลส และเปิดให้ผู้ขายมาโพสต์ขายสินค้าและมีผู้ซื้อเข้ามาซื้อสินค้า ก็เสี่ยงมีความผิดกฎหมายอาญา หากพบการกระทำความผิดจะถูกดำเนินการขั้นเด็ดขาดเช่นเดียวกัน