ปิดฉากสัปดาห์นี้...ก็อย่างเคยนั่นแหละทั่น!!! คือจนปัญญา ไม่รู้จะไปหาเรื่อง “เบาๆ” จาก ณ แห่งหนตำบลไหนภายในโลกใบนี้ มาพูดจาว่ากล่าวให้พอรู้สึก “สบายๆ” ขึ้นมามั่ง เพราะข่าวคราวความเคลื่อนไหว ความเป็นไปในโลกทุกวันนี้ มันล้วนแต่เป็นไปในลักษณะอาการ อย่างที่อาจารย์ “เรืองอุไร กุศลาสัย” ท่านได้ถอดความจากโศลกของ “ท่านรพินทรนาถ ฐากูร” มาเป็นบทกลอนแบบไทยๆไว้ในหนังสือ “คำคมบ่มชีวิต” เมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว นั่นแหละว่า... “อนิจจาโลกา ณ ครานี้/ ช่างเหลือที่ทรหวนปั่นป่วนคลั่ง/ ทรมาพยาบาทอาฆาตชัง/กระทบกระทั่งขัดแย้งระแวงใจ/ช่างทารุณกรุ่นกรึงด้วยขึ้งโกรธ/ไม่สิ้นสุดหฤโหดหรือไฉน/วิถีทางโลกาน่าเศร้าใจ/ ด้วยบ่วงใยโกงคดกบฏกัน ฯลฯ ฯลฯ” อะไรประมาณนั้น...
นี่...ก็ทำท่าว่าจะหันมา “ใส่” กันอีกซะแล้ว ระหว่างพันธมิตร 3 ฝ่าย อย่าง “รัสเซีย-อิหร่าน-และตุรกี” ที่เคยจูบปาก เคยโอบกอดกันมาหมาดๆ เคยร่วมมือ ร่วมใจ ร่วมก่อสร้างกระบวนสันติภาพขึ้นในประเทศซีเรีย เคยร่วมกันทำ “ข้อตกลงโซชิ” ทำ “ข้อตกลงอัสตานา” แต่ด้วยเหตุเพราะเมื่อเจอ “แขก” กับเจอ “งู” ดันไม่ได้ “ตีเออร์โดกัน” เอาไว้ก่อน อะไรที่ไม่น่าจะเป็นปัญหาก็ทำท่าว่าจะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาอีกจนได้ ส่วนรายละเอียดตื้น-ลึก-หนาบาง จะเป็นยังไงนั้น เอาไว้เปิดฉากสัปดาห์หน้าค่อยมาว่ากันอีกทีก็แล้วกัน เพื่อให้อะไรต่อมิอะไรมันไม่ถึงกับ “หนัก” จนเกินไป...
สำหรับปิดฉากสัปดาห์นี้ลองไปว่ากันเรื่อง “สงครามสื่อฯ” ก็แล้วกัน...แต่ประทานโทษ คงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ “สงครามสื่อฯ” ในบ้านเรา ที่คนแก่ คนชรา และคนที่มี “ต้นทุนต่ำ” กว่าใครเค้าเพื่อน อย่าง “ทับทิม พญาไท” คงมิกล้า มิบังอาจ เข้าไปขวางทางเท้า ขวางทางตีน ใครต่อใครเขาโดยเด็ดขาด แต่ด้วยเหตุเพราะเป็นเรื่อง “สงครามสื่อฯ” ระหว่างคุณพ่ออเมริกากับคุณพี่จีน ที่แม้จะตีนใหญ่ ตีนหนา เพียงใดก็ตาม แต่ “รัศมีส้นตีน” ยังอยู่ไกล พอที่จะหยิบมาพูดจาว่ากล่าวกันแบบอยู่รอดปลอดภัยได้พอสมควรคือหลังจากที่คุณพ่ออเมริกาท่านเปิดฉากสงครามกับคุณพี่จีนไปแล้วไม่รู้กี่เรื่อง ต่อกี่เรื่อง ไม่ว่า “สงครามการค้า” ที่ยังไม่แล้วเสร็จ หรือไม่ได้ยุติแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แค่ “พักรบชั่วคราว” หรือแค่ชะงักเท้ากันในระดับ “เฟส 1” เท่านั้นเอง ยังตามมาด้วย “สงครามเทคโนโลยี” ที่คุณพ่ออเมริกาท่านไล่ฟัด ไล่งับ บริษัท “หัวเว่ย” ของจีน แบบชนิด “แค้นจัด-กัดดะ-ฝังเขี้ยวจมน่อง” มาโดยตลอด ไปจน “สงครามเชื้อโรค” ที่คุณพ่ออเมริกาท่านฉวยจังหวะที่เชื้อไวรัส “Covid-19” แพร่ระบาดในจีน มา “พลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส” ในการรุมเหยียบ รุมกระทืบประเทศจีน ปล่อยข่าว แพร่ข่าว สร้างสมมติฐาน สร้างทฤษฎีสมคบคิด เพื่อป้ายสีประเทศจีน รัฐบาลจีน ไปจนถึงชาวจีน ชนิดเละเทอะ เลอะเทะ (เลอะเทอะ) กันไปเป็นแถบๆ...
และล่าสุด...เมื่อช่วงวันอังคาร (18 ก.พ.) ที่ผ่านมานี่เอง กระทรวงการต่างประเทศอเมริกันก็ออกกฎ ออกระเบียบ เพื่อเล่นงานสื่อจีนโดยตรง อย่างน้อยก็ประมาณ 5 สำนักด้วยกัน คือ “Xinhua” “CGTN” “China Radio” “China Daily” และ “People’s Daily” ที่มีสาขาสำนักงาน มีผู้ปฏิบัติการอยู่ในประเทศอเมริกา ให้ต้องมาจดแจ้ง ตีตรา ลงทะเบียนกับกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ต่างอะไรไปจากเจ้าหน้าที่ทางการทูต หรือเพื่อควบคุมความเคลื่อนไหวต่างๆ ไม่ให้เป็น “อิสระเสรี” ได้แบบสื่อมวลชนโดยทั่วไป ด้วยเหตุผล ข้ออ้าง ทำนองคล้ายๆ ที่หยิบยกมาเล่นงานบริษัท “หัวเว่ย” นั่นแหละ คือถือว่าบรรดา “สื่อ” เหล่านี้ ล้วนมีความเกี่ยวข้อง โยงใย กับรัฐบาลจีน หรือพรรคคอมมิวนิสต์จีน ไม่ได้เป็นสื่ออิสระ หรือสื่อของเอกชน การสื่อข่าว แพร่ข่าวใดๆ จึงอาจหนักไปในแนว “บิ๊กโจ๊ก” อะไรประมาณนั้น หรือหนักไปทาง “กระบอกเสียง” ของรัฐบาลจีน ของคอมมิวนิสต์ อันอาจก่อให้เกิด “ความเสี่ยง” ต่อความมั่นคงของอเมริกา แบบที่ “หัวเว่ย” ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อ “ประตูหลัง” ของระบบข้อมูลข่าวสาร หรือระบบข่าวกรองก็แล้วแต่จะว่ากันไป...
เมื่อคิดงัดเอาลูกนี้ออกมาเล่นงานกัน...รัฐบาลจีน ซึ่งฝ่าเท้า ฝ่าตีน ออกจะเบ้อเร่อเห้อ ไม่น้อยไปกว่าคุณพ่ออเมริกาสักเท่าไหร่ นอกจากโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “นายGeng Shuang” จะออกมาประณาม ตำหนิ ติติง การกระทำของรัฐบาลอเมริกันในเรื่องนี้ ว่าทั้ง “ไร้เหตุผล” และ “มิอาจรับได้” วันรุ่งขึ้น (19 ก.พ.) รัฐบาลจีนก็ได้ตัดสินใจยกตีนลูบหน้าสื่ออเมริกัน อย่าง “The Wall Street Journal” ที่มาตั้งสาขาอยู่ในเมืองจีน โดยยกเลิกบัตรผ่านของผู้สื่อข่าว 3 ราย คือ “นายJosh Chin” “นายChao Deng” และ “นายPhillip Wen” แล้วให้เวลา 5 วันในการไปให้พ้นๆ ประเทศจีน ด้วยเหตุผล ข้ออ้าง ที่ออกจะ “คลาสสิก” กว่ารัฐบาลอเมริกันอยู่สักหน่อย คือไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นเผด็จการ ความเป็นประชาธิปไตย หรือความเป็นทุนนิยม ความเป็นคอมมิวนิสต์ ที่ออกจะเป็นอะไรที่ “เชยส์ส์ส์” อยู่พอสมควร แต่เนื่องมาจากการแสดงออกถึงการเหยียดเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ หรือการให้ร้ายชาวจีน และประเทศจีน แบบน่าเกลียด น่าทุเรศ เอามากๆ เช่นการแพร่ และกระพือข่าวพาดหัวว่า “จีนคือคนป่วยตัวจริงแห่งเอเชีย” หรือการเฝ้าเน้น เฝ้าย้ำ ในลักษณะที่ทำให้คนจีนกลายเป็นตัว “พาหะ” นำโรค อะไรประมาณนั้น...
คือแม้ว่าสื่อฯ อย่าง “The Wall Street Journal” จะเป็นสื่อของเอกชนก็ตามที...แต่ก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าบรรดาสื่อเอกชนในอเมริกาไม่ว่ารายไหนก็รายนั้น ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อำนาจ อิทธิพล “เจ้าของสื่อฯ” ซึ่งมีฐานะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุค แต่ละสมัย มาด้วยกันทั้งสิ้น หรือบรรดาผู้ที่ถูกเรียกขานในนาม “Deep State” ไม่ก็ “Establishment” อะไรทำนองนั้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัท “GE” หรือ “General Electric” ที่หากินอยู่กับกระทรวงกลาโหมอเมริกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ที่เป็นเจ้าของเครือข่ายโทรทัศน์ “NBC” ควบคู่ไปด้วย และเคยถึงขั้นส่งให้ “ลูกจ้าง” ของตัวเอง หรือฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัท อดีตดารา นักแสดง พิธีกรรายการ “GE Theater” อย่าง “นายโรนัลด์ เรแกน” ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ กันจนได้ หรือบริษัท “Viacom” ที่เป็นเจ้าของโทรทัศน์ “CBS” บริษัท “AOL Time Warner” ที่เป็นเจ้าของโทรทัศน์ “CNN” บริษัท “Disney” ที่เป็นเจ้าของ “ABC” ฯลฯ ฯลฯ ไปจนเจ้าของสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในอเมริกาแต่ละฉบับ บรรดากลุ่มคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีหุ้นส่วน หรือกระทั่งมีฐานะ ตำแหน่ง เป็น “บอร์ด” ในบริษัทผลิตอาวุธ ค้าอาวุธ บริษัทการเงิน การธนาคาร และบริษัทเทคโนโลยีไฮเทค ฯลฯ ที่รวมตัวกันเป็น “Deep State” หรือร่วมมือกันอยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกัน ไม่ว่ารีพับลิกันหรือเดโมแครตมาโดยตลอด ชนิดไม่ต่างอะไรไปจากรัฐบาลจีน หรือพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีส่วนเกี่ยวโยงอยู่กับบรรดา “สื่อจีน” ทั้งหลาย...
เพียงแต่ว่ารัฐบาลจีน หรือพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น...อาจออกไปทาง “ทุนนิยมเผด็จการ” ขณะที่พวก “Deep State” หรือพวก “Establishment” ในอเมริกา ออกไปทาง “ทุนนิยมผูกขาดที่แอบแฝงมาในคราบประชาธิปไตย” นั่นเอง ความเป็น “อิสระ” ของสื่อจีน หรือสื่ออเมริกา จึงแทบไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากกันสักเท่าไหร่ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าใครจะเชียร์ “แป๊ะ” หรือเชียร์ “โจ๊ก” (ประทานโทษ...หวิดถลำเข้าไปในรัศมีส้นตีนอีกซะแล้ว) คือปัญหาอยู่ที่ว่าใครจะยืนอยู่ข้างฝ่ายที่ถูกต้อง เป็นธรรม หรือฝ่ายที่มีคุณธรรม มโนธรรม และจริยธรรม มากหรือน้อยขนาดไหน ขณะที่รัฐบาลอเมริกัน ช่วยให้พวก “Deep State” หรือพวก “Establishment” ที่มีอยู่แค่ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของบรรดาอเมริกันชน “รวยเอา...รวยเอา” พร้อมๆ กับบรรดาปวงชนชาวอเมริกันกลับ “จนลง...จนลง” ส่วนรัฐบาลจีนกลับช่วยให้บรรดาปวงชนชาวจีนจำนวนเกือบ 800 ล้านคน สามารถพ้นมาตรฐานความยากจนภายในช่วงเวลาแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้นเอง ใครเป็นฝ่ายที่น่าจะถูกต้อง เป็นธรรม มีคุณธรรม มโนธรรม และจริยธรรมมากน้อยไปกว่ากัน อันนี้...คงต้องไปนั่งคิด นอนคิด เอาเองก็แล้วกัน...