ผู้จัดการรายวัน360-สภาพัฒน์เผยจีดีพีไตรมาส 4/62 โตแค่ 1.6% ต่ำสุดในรอบ 21 ไตรมาส ฉุดทั้งปีโต 2.4% ส่วนปี 63 คาดขยายตัวแค่ 1.5-2.5% ค่ากลาง 2% เหตุได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำท่องเที่ยวลด และงบประมาณล่าช้า
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยไตรมาส 4/2562 ขยายตัวที่ 1.6% ต่ำสุดในรอบ 21 ไตรมาส จากผลกระทบสงครามการค้า และการส่งออกที่ลดลง 4.9% ส่งผลให้ปี 2562 จีดีพีขยายตัวเพียง 2.4% ลดลงจากปี 2561 ที่ขยายตัว 4.2% โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าลดลง 3.2% การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 4.5% การลงทุนรวมขยายตัว 2.2% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 0.7% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 6.8% ของจีดีพี
สำหรับแนวโน้มในปี 2563 คาดการณ์จีดีพีจะขยายตัวในกรอบ 1.5-2.5% มีค่ากลางที่ 2% ลดลงจาก 2.7-3.7% โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การท่องเที่ยวลดลง มีผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และความล่าช้าของงบประมาณ ส่วนปัจจัยหนุน คือ การปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ ของเศรษฐกิจและการค้าโลก การขยายตัวในการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การลงทุนภาคเอกชนและรัฐ แรงขับเคลื่อนจากมาตรการรัฐ และการขยายตัวที่ต่ำในไตรมาสสุดท้ายของปี 2562
ทั้งนี้ ได้คาดการณ์การส่งออกปี 2563 จะขยายตัว 1.4% การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3.5% และการลงทุนรวมขยายตัว 3.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.4-1.4% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 5.3% ของจีดีพี
"หากจีดีพีปี 2563 จะขยายตัวได้ในกรอบกลางที่ 2% เศรษฐกิจโลกจะต้องขยายตัว 3.2% การส่งออกไม่รวมทองคำขยายตัว 2% การแพร่ของไวรัสโควิด-19 เข้าสู่จุดสูงสุดในเดือนมี.ค. และสิ้นสุดลงเดือนพ.ค. ทำให้ทั้งปีมีนักท่องเที่ยวรวม 37 ล้านคน และมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.73 ล้านล้านบาท ขณะที่ปัญหาภัยแล้งส่งผลต่อการผลิตของภาคเกษตรลดลงเพียง 5% และไม่ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ ส่วนการเบิกจ่ายงบรวมอยู่ที่ 91.2% โดยมีการเบิกจ่ายงบประจำ 98% และงบลงทุน 65%"นายทศพรกล่าว
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2563 ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงรายได้ของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งกระทรวงการคลังได้มีมาตรการช่วยเหลือภาคท่องเที่ยว โดยมีมาตรการให้หักค่าใช้จ่ายปรับปรุงโรงแรม 1.5 เท่า ให้หน่วงานหักรายจ่ายจัดอบรมสัมมนาในประเทศ 2 เท่า เพื่อกระตุ้นท่องเที่ยว และขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปเป็นเดือนมิ.ย.2563
ขณะเดียวกันได้ดำเนินมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนภายในประเทศปี 2563 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยและกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ ซึ่งประกอบด้วยมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาและปรับปรุงการผลิตสินค้าให้มีศักยภาพสูงขึ้น รวมทั้งมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น ชิมช้อปใช้ 4 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในช่วงเดือนมี.ค.2563
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยไตรมาส 4/2562 ขยายตัวที่ 1.6% ต่ำสุดในรอบ 21 ไตรมาส จากผลกระทบสงครามการค้า และการส่งออกที่ลดลง 4.9% ส่งผลให้ปี 2562 จีดีพีขยายตัวเพียง 2.4% ลดลงจากปี 2561 ที่ขยายตัว 4.2% โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าลดลง 3.2% การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 4.5% การลงทุนรวมขยายตัว 2.2% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 0.7% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 6.8% ของจีดีพี
สำหรับแนวโน้มในปี 2563 คาดการณ์จีดีพีจะขยายตัวในกรอบ 1.5-2.5% มีค่ากลางที่ 2% ลดลงจาก 2.7-3.7% โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้การท่องเที่ยวลดลง มีผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และความล่าช้าของงบประมาณ ส่วนปัจจัยหนุน คือ การปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ ของเศรษฐกิจและการค้าโลก การขยายตัวในการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การลงทุนภาคเอกชนและรัฐ แรงขับเคลื่อนจากมาตรการรัฐ และการขยายตัวที่ต่ำในไตรมาสสุดท้ายของปี 2562
ทั้งนี้ ได้คาดการณ์การส่งออกปี 2563 จะขยายตัว 1.4% การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3.5% และการลงทุนรวมขยายตัว 3.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.4-1.4% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 5.3% ของจีดีพี
"หากจีดีพีปี 2563 จะขยายตัวได้ในกรอบกลางที่ 2% เศรษฐกิจโลกจะต้องขยายตัว 3.2% การส่งออกไม่รวมทองคำขยายตัว 2% การแพร่ของไวรัสโควิด-19 เข้าสู่จุดสูงสุดในเดือนมี.ค. และสิ้นสุดลงเดือนพ.ค. ทำให้ทั้งปีมีนักท่องเที่ยวรวม 37 ล้านคน และมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.73 ล้านล้านบาท ขณะที่ปัญหาภัยแล้งส่งผลต่อการผลิตของภาคเกษตรลดลงเพียง 5% และไม่ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ ส่วนการเบิกจ่ายงบรวมอยู่ที่ 91.2% โดยมีการเบิกจ่ายงบประจำ 98% และงบลงทุน 65%"นายทศพรกล่าว
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2563 ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงรายได้ของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งกระทรวงการคลังได้มีมาตรการช่วยเหลือภาคท่องเที่ยว โดยมีมาตรการให้หักค่าใช้จ่ายปรับปรุงโรงแรม 1.5 เท่า ให้หน่วงานหักรายจ่ายจัดอบรมสัมมนาในประเทศ 2 เท่า เพื่อกระตุ้นท่องเที่ยว และขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปเป็นเดือนมิ.ย.2563
ขณะเดียวกันได้ดำเนินมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนภายในประเทศปี 2563 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยและกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ ซึ่งประกอบด้วยมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาและปรับปรุงการผลิตสินค้าให้มีศักยภาพสูงขึ้น รวมทั้งมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น ชิมช้อปใช้ 4 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในช่วงเดือนมี.ค.2563