ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สิ้นสุดการรอคอยคำตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ ตีความกรณี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รุกป่า หากแต่ว่าคำตอบที่น่าติดตามอย่างยิ่งจากนี้คือ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ ผู้บังคับใช้กฎหมาย จะกล้าเดินหน้าเอาผิดอภิสิทธิชนที่ชื่อ ปารีณา เหมือนที่ชาวบ้านตาดำๆ โดนกัน หรือไม่?
ขณะที่ฟากฝั่งสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) นั้นชัดเจนมาแบบโนแคร์กระแสสังคมแล้วว่า ไม่เอาผิด ไม่ติดใจ คืนที่มาให้แล้วจบกัน!
คำตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ ที่ตีความแล้วแจ้งกลับมายังกรมป่าไม้ ตามข่าวคราวจากหน้าสื่อหลายสำนัก เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีความชัดเจนแล้วก็คือว่า หนึ่ง ที่ดินที่ “เอ๋-ปารีณา” ครอบครอง 682 ไร่ เป็นพื้นที่ “ป่าสงวน” หรือว่าเป็น “ส.ป.ก.” สรุปคือ ยังคงมีสภาพเป็น “พื้นที่ป่าสงวน”
และ สอง ระหว่าง ส.ป.ก. กับ กรมป่าไม้ หน่วยงานไหนที่มีอำนาจในการดำเนินคดี คำตอบจากกฤษฎีกาคือ มีอำนาจทั้งสองหน่วยงาน
แล้วใครมีอำนาจ “จับกุม” ดำเนินคดีตามกฎหมาย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี อธิบายความให้คำตอบว่า “กรมป่าไม้”
ย้อนทวนกันสั้นๆ ตั้งแต่ปลายปีก่อนต่อเนื่องมาจนถึงต้นปีนี้ กรมป่าไม้กับ ส.ป.ก.และหน่วยงานเกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบที่ดินที่อยู่ในการครอบครองของพ่อ-ลูก นายทวี ไกรคุปต์ และนางสาวปารีณา
ในส่วนของ “เอ๋-ปารีณา” ซึ่งครอบครองที่ดินแล้วปลูกสร้างโรงเรือนทำฟาร์มไก่เขาสนฟาร์ม อ.จอมบึง จ.ราชบุรี นั้นกรมป่าไม้ ได้แจ้งความเอาผิดฐานบุกรุกพื้นที่ป่าไม้และป่าสงวนแห่งชาติฯ กว่า 46 ไร่ ส่วนนี้ชัดเจนตั้งแต่ต้น และกรมป่าไม้แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว
ส่วนครอบครองพื้นที่ที่ว่ามีสภาพเป็น “ส.ป.ก.” โดยมิชอบกว่า 682 ไร่ นั้น มีข้อถกเถียงกันว่า ยังมีสภาพเป็น “ป่าสงวน” หรือถือว่าเป็น “ส.ป.ก.” ความไม่ชัดเจนตรงนี้ กรมป่าไม้ จึงยื่นเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ตีความในประเด็นดังกล่าวข้างต้นและได้คำตอบมาแล้วดังว่า
เป็นคำตอบที่ว่าชัดก็ชัด หรือจะว่าไม่ชัดก็ใช่ จากนี้สองหน่วยงานต้องมานั่งหารือกันต่ออีกหลายยกเพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน และวางแนวทางดำเนินต่อว่าจะเอาอย่างไร
คำถามที่ยืดยาว 5 - 6 ประเด็น และคำตอบจากกฤษฎีกาที่วกไปวนมานั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฉายา “เนติบริกร” มือชั้นเทพ ตอบคำถามสังคมผ่านนักข่าวให้หายมึนงงสงสัย ความว่า
“หลักใหญ่ไม่ว่าจะเป็นคำถามกี่ข้อก็ตาม แต่สามารถสรุปหัวข้อที่กรมป่าไม้สงสัยหนักที่สุดตรงที่ว่ากรมป่าไม้หรือ ส.ป.ก.กันแน่ ที่จะเป็นผู้ที่มีอำนาจเข้าไปดำเนินคดี คำตอบในข้อนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบแล้วว่าเป็นอำนาจของทั้งสองฝ่าย เพียงแต่ ส.ป.ก.ไม่มีอำนาจจับ เพราะไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจในการจับ ดังนั้นจึงจับใครไม่ได้ แต่กรมป่าไม้ มีอำนาจจับได้ โดยเฉพาะถ้าที่ดินนั้นเป็นที่ดินป่าไม้
“ต้องไปดูว่าแต่ละคนได้ครอบครองที่ดินมาตั้งแต่เมื่อไร และ ส.ป.ก.เข้าดำเนินการในที่ดินดังกล่าวในขั้นขนาดไหนแล้ว เกณฑ์ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาใช้ประกอบกับที่เคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อปี 2558 คือ ที่ดินนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นที่ดินของ ส.ป.ก.ก็ต่อเมื่อ 1.มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่ 2.คณะรัฐมนตรีจะต้องมีมติว่าที่ดินแปลงนั้นเข้าสู่กระบวนการปฏิรูป 3.ส.ป.ก. จะต้องมีการออกแผนงานปฏิรูปสำหรับที่ดินแปลงนั้น และ 4.ได้มีงบประมาณสำหรับการเข้าไปดำเนินการปฏิรูป
“ถ้าครบทั้ง 4 ข้อดังกล่าวที่ดินแปลงนั้นจะตกเป็นที่ดินของ ส.ป.ก. และพ้นสภาพจากการเป็นป่าสงวนทันที แต่ถ้ายังไม่ครบใน 4 ข้อดังกล่าว จะยังเป็นพื้นที่ป่าสงวน และเมื่อเพิกถอนการเป็นป่าสงวนจะกลายเป็นพื้นที่ของ ส.ป.ก.
“ศาลฎีกาก็ดี คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ดี ครั้งนี้ได้วินิจฉัยย้ำสำคัญว่า สมมุติว่ามีที่ดินทั้งหมด 682 ไร่ เฉพาะแปลงที่ได้ดำเนินการครบตามคุณสมบัติ 4 ข้อนี้เท่านั้น แปลงอื่นที่ยังไม่ได้ดำเนินการครบแม้จะคลุมเครือหรือเข้าข่าย ก็ยังไม่เป็นการเพิกถอนพื้นที่ป่าสงวน หลักสำคัญมีอยู่แค่นี้ ดังนั้น กรมป่าไม้ จึงต้องนำกลับไปพิจารณาว่าที่ดินของแต่ละบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าข่ายอยู่แค่ไหน ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ตอบ เพราะเขาไม่ใช่ผู้วินิจฉัยคดี” นายวิษณุ ระบุ
นั่นแหละถึงว่า คำตอบจากกฤษฎีกา จะว่าชัดก็ชัด จะว่าไม่ชัดก็ใช่ กรมป่าไม้ กับ ส.ป.ก. จึงนัดหมายทำความเข้าใจให้ตรงกัน
และยังมีประเด็นสำคัญต่อเนื่องที่ถูกจับตาว่าจะพิจารณากันต่ออย่างไรเมื่อได้คำตอบมาแล้ว นั่นคือ จะมีรายการ “อุ้ม” ให้ “เอ๋-ฟาร์มไก่” ใช้ประโยชน์ในที่ดินตรงนั้นต่อหรือไม่?
ประเด็นนี้ มีข่าวปล่อยออกมาผ่านสื่อรัฐแล้ว โดยอ้างรายงานจากฝ่ายกฎหมายของทั้ง 2 หน่วยงานว่า ประเด็นที่ต้องถกกันให้ชัดเจน คือ การใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่ง น.ส.ปารีณาใช้ประกอบกิจการฟาร์มไก่ถือว่าเป็นการเข้าทำประโยชน์เพื่อเกษตรกรรมหรือกิจการอื่นอันเป็นการสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือไม่ จากนั้นจึงจะหาข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินคดีต่อไป
ขณะเดียวกันก็มีรายการ “ตีความ” จากการ “ตีความ” ของกฤษฎีกาด้วยว่า กรณีครอบครองพื้นที่ป่ามาก่อนประกาศยกให้ ส.ป.ก. จะได้รับการผ่อนผันหรือไม่ คำตอบคือ “หากเป็นการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรกรรม ไม่น่าจะต้องถูกบังคับตามกฎหมายการป่าไม้” ซึ่งหมายถึงน่าจะหมายถึงน่าจะได้รับการผ่อนผัน ใช่หรือไม่ ตามคำตอบในประเด็นที่ 3
ตามข้อสังเกตนี้ก็ต้องติดตามดูว่าถึงที่สุดแล้ว อภิสิทธิชนที่ชื่อ “เอ๋-ปารีณา” จะได้รับการผ่อนผันให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต่อไปได้หรือไม่
ส่วนการตรวจสอบการครอบครองที่ดินของนายทวีนั้น อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า การดำเนินคดีที่ดินของนายทวี ในพื้นที่ หมู่ 9 ต.ท่าเคย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ที่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ หลังจากตรวจสอบพบว่านายทวี บุกรุกพื้นที่รัฐ 1,000 กว่าไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. 600 กว่าไร่ และพื้นที่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ คือพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 17 ไร่ และป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 จำนวน 375 ไร่ ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งความนายทวี
อธิบดีกรมป่าไม้ ไล่ขั้นตอนที่ยืดยาวเหตุที่ยังไม่ได้แจ้งดำเนินคดี เพราะในช่วงระหว่างการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ ไม่พบตัวผู้กระทำความผิด ดังนั้น ต้องสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดให้ได้ก่อน และต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวนคือตำรวจภูธรสวนผึ้ง ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของใครและใครบุกรุกป่าสงวนฯ และพื้นที่ป่าไม้ จึงจะแจ้งความเอาผิดได้
ไม่น่าเชื่อว่าผู้กว้างขวางแห่งราชบุรีอย่างนายทวี จะหาตัวยากจนลากยาวมาจนถึงวันนี้ แต่อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดสำหรับเมืองไทยที่ “พ่อ-ลูก ไกรคุปต์” ยังลอยนวลอยู่ได้
และดูจากท่าทีของ “เอ๋-ปารีณา” หลังทราบข่าวกฤษฎีกา ตีความข้อหารือของกรมป่าไม้แล้ว เธอพร้อมสู้เต็มที่และพิสูจน์ในชั้นศาลว่าไม่ได้บุกรุก ด้วยทีมทนายของพรรคพลังประชารัฐ นายทศพล เพ็งส้ม ที่ถูกส่งมาดูแลช่วยเหลือเธอ
“ดิฉันยืนยันว่าดิฉันไม่ได้บุกรุกและพร้อมจะสู้คดี....” น.ส.ปารีณา กล่าว
ขณะที่ก่อนหน้าไม่กี่วัน เธอได้โพสต์เฟซบุ๊ก ในทำนองเดียวกันว่า “....ยืนยันความบริสุทธิ์ไม่เคยบุกรุกป่า และคดีของดิฉันเกิดขึ้นมากมายทั่วแผ่นดิน คือการต่อสู้ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน ก็ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นอีกหนึ่งคนที่จะต้องมาสู้คดีที่ดินนี้ และจะสู้คดีที่ดินนี้กับพี่ทศพลให้ถึงที่สุด
“หากผิดจริง ยินดีติดคุกไม่หนีไปต่างประเทศ หากไม่ผิดจะเปิดศูนย์ให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกคนที่กำลังต่อสู้คดีที่ดินกับรัฐ ขอบคุณพรรคพลังประชารัฐ ส่งพี่ทศพล (ทศพล เพ็งส้ม) มาเป็นทนาย ทำให้รู้เรื่องกฎหมายต่างๆ มาก จะนำความรู้ทางกฎหมายในครั้งนี้ และประสบการณ์ในครั้งนี้ไปเป็นประโยชน์กับประชาชนในอนาคตอย่างแน่นอน....” น.ส.ปารีณา กล่าวอย่างเชื่อมั่น
ชนชั้นอภิสิทธิชนที่กฎหมายยังเอาผิดไม่ได้ในกรณีรุกป่านอกจากพ่อ-ลูก “ไกรคุปต์” แล้ว ยังต้องวนไปดูคดี “มาดามโอ๊ะ” นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถูกกล่าวหาบุกรุกป่าในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งข่าวคราวเงียบสงบลง และยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
มิต้องกล่าวถึงคำโอ่ของทีมปฏิบัติการเช็กบิล “มาดามโอ๊ะ” ที่ว่าจะลุยสะสางการบุกรุกอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ไล่เรียงจากอำเภอเมืองปราจีนบุรี ไปยังอำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี และไปจนถึงอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา แต่จะว่าไปก็น่าเห็นใจทีมทำงานเพราะคนที่กล้ารุกป่าสงวนรุกอุทยานมิใช่ชนชั้นกระจอกงอกง่อยแต่เป็นคนใหญ่โตกว้างขวางทรงอิทธิพลทั้งนั้น
น่าตั้งคำถามว่าทุกเรื่องราวมี something เกี่ยวโยงอะไรกันหรือไม่ในฉากหลัง conspiracy ที่มากกว่าฉากหน้า “เอ๋-ปารีณา” ลั่นไม่ผิดพร้อมสู้คดีในชั้นศาลโดยมีทีมกฎหมายของพรรค พปชร. ช่วยเต็มที่! และ “มาดามโอ๊ะ” ยืนยันพี่ไม่ได้ทำผิดอะไร?