**หลังจากผ่านเหตุการณ์วิปโยคที่จังหวัดนครราชสีมาไปไม่กี่วัน บรรยากาศเดิมๆ ก็เริ่มกลับคืนมาให้รำคาญใจกันอีกแบบหนึ่ง นั่นคือบรรยากาศทางการเมืองของพวกนักการเมืองที่ต่างก็พยายามที่จะเรียกร้องความสนใจ อยากเป็นข่าวรายวัน อย่างไรก็ดีในเมื่อนี่คือ “ประชาธิปไตย” ที่หลายคนอยากให้เป็น อยากได้หรือคลั่งไคล้ ก็ต้องยอมรับมัน
หลังจากที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลแล้ว และล่าสุดก็มีความเห็นร่วมกันว่า จะมีการกำหนดวันอภิปรายในวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ และลงมติกันในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ หรืออย่างช้าหากมีการอภิปรายยืดเยื้อ ก็อาจยืดเวลาไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ซึ่งเชื่อเถอะก็คงจะมีการลงมติกันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ นั่นแหละ
สำหรับรายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกขึ้นบัญชียื่นซักฟอกในครั้งนี้ ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หากพิจารณาจากรายชื่อรัฐมนตรีก็ย่อมมองออกได้ทันทีว่า เป้าหมายของพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ต้องการพุ่งเป้าไปที่กลุ่มพี่น้อง “3ป.”โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นหลัก
ขณะเดียวกันที่ต้องจับตากันล่วงหน้าก็คือ พรรคฝ่ายค้านที่นำโดย พรรคเพื่อไทย ยังยืนยันที่จะอภิปราย“ย้อนยุค”กลับไปในช่วง 5-6 ปีก่อนในยุคที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้าควบคุมอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
โดยท่าทีดังกล่าวได้รับการเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนแล้ว จากปาก นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และเป็นคนใกล้ชิดของครอบครัว นายทักษิณ ชินวัตร ที่เข้าใจกันว่าเป็นเจ้าของพรรคการเมืองนี้
ขณะเดียวกัน เมื่อฝ่ายค้านยังคงยืนยันว่าต้องการอภิปรายแบบ “ย้อนยุค”ดังกล่าว ในทางการเมืองแม้ไม่ต้องอธิบายขยายความก็ย่อมมองออกว่า นี่คือ “รายการแก้แค้น” ที่พ่วงเข้ามา หรืออาจจะเป็นเรื่องหลักก็อาจจะพูดแบบนั้นได้เหมือนกัน เพราะหากเข้าใจแบ็กกราวด์ของพรรคฝ่ายค้านพรรคนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
อีกด้านหนึ่ง เมื่อมีเป้าหมายว่าต้องการอภิปรายย้อนหลังดังกล่าว มันก็ย่อมทำให้อีกฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาลต้องหาทางขัดขวางในทุกวิถีทางโดยอ้างว่าเรื่องรัฐบาลเก่ามันจบไปแล้ว หากจะอภิปรายถึงความล้มเหลว หรือข้อผิดพลาด หรือมีการทุจริตคอร์รัปชันอย่างไรบ้าง ก็สามารถขุดคุ้ยมาอภิปรายซักฟอกได้ หากเห็นว่าในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมานี้ ได้เห็นหรือมีหลักฐานความไม่ชอบมาพากล
** ความหมายก็คือ รัฐบาลยังยืนยันที่จะให้ฝ่ายค้านอภิปรายรัฐบาลใหม่ ที่บริหารมาในช่วง 5-6 เดือนนี้เท่านั้น หากนอกเหนือจากนี้ ก็จะมีการประท้วง ขัดขวางอย่างแน่นอน ทำให้คาดหมายว่าหากไม่มีใครยอมถอย บรรยากาศในสภาฯก็จะวุ่นวายแน่
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อไปก็คือ หากการอภิปรายคราวนี้ถูกขัดขวางไม่ให้ซักฟอกย้อนยุค ทำให้ต้องอภิปรายรัฐบาลในช่วง 6 เดือนจะทำให้มี “หมัดเด็ด”แบบไหนบ้าง เนื่องจากที่ผ่านมาอาจเป็นเพราะด้วยระยะเวลาผ่านมาไม่มาก ยังมองไม่เห็นปัญหาการทุจริตที่มองเห็นได้จะจะ แต่ในเมื่อฝ่ายค้านยืนยันว่า พวกเขามี“หมัดเด็ด”ก็ต้องรอดูว่า เมื่อถึงเวลาจริงๆจะเป็นแค่“ราคาคุย”หรือของจริง กลายเป็น“หมัดน็อก” รัฐบาล “ลุงตู่”ให้พังพาบไปต่อหน้า ได้หรือไม่
ดังนั้น นาทีนี้แม้ว่าบรรยากาศเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะเหมือนถูกทำให้มีความเข้มข้นเรื่อยๆ จนถึงวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่หากพิจารณาจากข้อมูลและความเป็นจริงเท่าที่เห็น รวมไปถึงเมื่อได้รายชื่อแบบแย้มๆ ออกมาของบรรดา “ขุนพล”ฝ่ายค้าน ก็น่าจะเป็นคำตอบได้ระดับหนึ่งว่า น่าจะมีแนวโน้มออกมาในแบบ “ราคาคุย” หรือโหมโรงให้น่าตื่นเต้นมากกว่าของจริง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรอให้ถึงวันดีเดย์ก่อน
** แต่หากให้ประเมิน มันยังไม่มีอะไรใหม่นอกเหนือจากเจตนาหลักเพื่อต้องการแก้แค้นแทน“นาย”หรือไม่ !!
หลังจากที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลแล้ว และล่าสุดก็มีความเห็นร่วมกันว่า จะมีการกำหนดวันอภิปรายในวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ และลงมติกันในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ หรืออย่างช้าหากมีการอภิปรายยืดเยื้อ ก็อาจยืดเวลาไปจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ซึ่งเชื่อเถอะก็คงจะมีการลงมติกันในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ นั่นแหละ
สำหรับรายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกขึ้นบัญชียื่นซักฟอกในครั้งนี้ ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หากพิจารณาจากรายชื่อรัฐมนตรีก็ย่อมมองออกได้ทันทีว่า เป้าหมายของพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ต้องการพุ่งเป้าไปที่กลุ่มพี่น้อง “3ป.”โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นหลัก
ขณะเดียวกันที่ต้องจับตากันล่วงหน้าก็คือ พรรคฝ่ายค้านที่นำโดย พรรคเพื่อไทย ยังยืนยันที่จะอภิปราย“ย้อนยุค”กลับไปในช่วง 5-6 ปีก่อนในยุคที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้าควบคุมอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
โดยท่าทีดังกล่าวได้รับการเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนแล้ว จากปาก นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และเป็นคนใกล้ชิดของครอบครัว นายทักษิณ ชินวัตร ที่เข้าใจกันว่าเป็นเจ้าของพรรคการเมืองนี้
ขณะเดียวกัน เมื่อฝ่ายค้านยังคงยืนยันว่าต้องการอภิปรายแบบ “ย้อนยุค”ดังกล่าว ในทางการเมืองแม้ไม่ต้องอธิบายขยายความก็ย่อมมองออกว่า นี่คือ “รายการแก้แค้น” ที่พ่วงเข้ามา หรืออาจจะเป็นเรื่องหลักก็อาจจะพูดแบบนั้นได้เหมือนกัน เพราะหากเข้าใจแบ็กกราวด์ของพรรคฝ่ายค้านพรรคนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
อีกด้านหนึ่ง เมื่อมีเป้าหมายว่าต้องการอภิปรายย้อนหลังดังกล่าว มันก็ย่อมทำให้อีกฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาลต้องหาทางขัดขวางในทุกวิถีทางโดยอ้างว่าเรื่องรัฐบาลเก่ามันจบไปแล้ว หากจะอภิปรายถึงความล้มเหลว หรือข้อผิดพลาด หรือมีการทุจริตคอร์รัปชันอย่างไรบ้าง ก็สามารถขุดคุ้ยมาอภิปรายซักฟอกได้ หากเห็นว่าในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมานี้ ได้เห็นหรือมีหลักฐานความไม่ชอบมาพากล
** ความหมายก็คือ รัฐบาลยังยืนยันที่จะให้ฝ่ายค้านอภิปรายรัฐบาลใหม่ ที่บริหารมาในช่วง 5-6 เดือนนี้เท่านั้น หากนอกเหนือจากนี้ ก็จะมีการประท้วง ขัดขวางอย่างแน่นอน ทำให้คาดหมายว่าหากไม่มีใครยอมถอย บรรยากาศในสภาฯก็จะวุ่นวายแน่
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อไปก็คือ หากการอภิปรายคราวนี้ถูกขัดขวางไม่ให้ซักฟอกย้อนยุค ทำให้ต้องอภิปรายรัฐบาลในช่วง 6 เดือนจะทำให้มี “หมัดเด็ด”แบบไหนบ้าง เนื่องจากที่ผ่านมาอาจเป็นเพราะด้วยระยะเวลาผ่านมาไม่มาก ยังมองไม่เห็นปัญหาการทุจริตที่มองเห็นได้จะจะ แต่ในเมื่อฝ่ายค้านยืนยันว่า พวกเขามี“หมัดเด็ด”ก็ต้องรอดูว่า เมื่อถึงเวลาจริงๆจะเป็นแค่“ราคาคุย”หรือของจริง กลายเป็น“หมัดน็อก” รัฐบาล “ลุงตู่”ให้พังพาบไปต่อหน้า ได้หรือไม่
ดังนั้น นาทีนี้แม้ว่าบรรยากาศเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะเหมือนถูกทำให้มีความเข้มข้นเรื่อยๆ จนถึงวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่หากพิจารณาจากข้อมูลและความเป็นจริงเท่าที่เห็น รวมไปถึงเมื่อได้รายชื่อแบบแย้มๆ ออกมาของบรรดา “ขุนพล”ฝ่ายค้าน ก็น่าจะเป็นคำตอบได้ระดับหนึ่งว่า น่าจะมีแนวโน้มออกมาในแบบ “ราคาคุย” หรือโหมโรงให้น่าตื่นเต้นมากกว่าของจริง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรอให้ถึงวันดีเดย์ก่อน
** แต่หากให้ประเมิน มันยังไม่มีอะไรใหม่นอกเหนือจากเจตนาหลักเพื่อต้องการแก้แค้นแทน“นาย”หรือไม่ !!