โดย ดร.เสรี พงศ์พิศ
ความตายของนายแพทย์หลี่ เหวินเลี่ยง ยืนยันว่า “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่คนพูดความจริงตาย”
คือบทเรียนสำคัญสำหรับเมืองจีน ไทยและทั่วโลกว่า การรวมศูนย์อำนาจ ไม่ว่าในระบอบการเมืองใดมีด้านลบที่มีผลกระทบต่อชีวิตอย่างสำคัญ
วิจารณ์เป็นเสียงเดียวกันทั่วโลกวันนี้ว่า ถ้าจีนยอมรับความจริงเรื่องนี้ตั้งแต่ปลายปี 2019 การระบาดไม่น่าจะรุนแรงขนาดนี้ เพราะจีนมีอำนาจในการสั่งการ ไม่เพียงแต่สร้างโรงพยาบาล 1,000 เตียงใน 10 วัน แต่มาตรการอื่นๆ ที่อำนาจสังคมนิยมคอมมิวนิสต์สามารถสั่งได้
และได้เห็นดาบในมือไปฟันผิดที่ ไปลงที่นายแพทย์ผู้แจ้งเตือนว่า ได้พบไวรัสตัวใหม่ที่อันตราย หาว่าเขากระจายข่าวเท็จ และเขาก็สังเวยชีวิตเพื่อยืนยันว่าไวรัสนี้อันตรายจริง และมาตรการของรัฐช้าเกินไป
กลับมาดูบ้านเราเมื่อปี 2531 เอดส์เริ่มระบาดแบบระเบิดไปทั่วสังคมไทย เพราะตั้งแต่ปี 2527 ที่ได้พบผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายแรก รัฐบาลพยายามปกปิดเรื่องนี้ กลัวกระทบการท่องเที่ยว กลัวคนแตกตื่น เอดส์คงระบาดไปทั่ว โดยเฉพาะในคุก
เพราะผู้ต้องขังหลายหมื่นคนได้รับการอภัยโทษในปี 2531 นั้น น่าจะมีส่วนสำคัญในการแพร่กระจายไวรัสตัวนี้ไปยังคนใกล้ชิด สถานบริการอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีการรณรงค์ป้องกันอย่างจริงจัง
ไม่กี่ปี ผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเพิ่มขึ้นไปเกือบล้านคนอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ต้องเชื่อ เพราะผมไปทำงานเกี่ยวกับโรคเอดส์ในโครงการไทยออสเตรเลียป้องกันเอดส์ภาคเหนือเมื่อปี 2536 เป็นพยานในเรื่องนี้ได้ เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อผู้ป่วยเอดส์ เห็นคนตายทุกวันๆ ละไม่รู้เท่าไร ในภาษาชาวบ้านที่ว่า “เพี้ยงหูบ” (เหมือนเพลี้ยลงนาลงสวนพืชผลตายหมด) แบบว่า “ห่าลง” ประมาณนั้น
นี่ก็ 36 ปีแล้วที่เอชไอวีเริ่มที่เมืองไทย เรายังมีผู้ติดเชื้อเกือบครึ่งล้าน มาตรการป้องกันอ่อนลงเมื่อไร ภูมิคุ้มกันทางสังคมก็อ่อนลงไปด้วย การรณรงค์เรื่องโรคเอดส์เงียบไปหลายปี ยิ่งมียาต้านไวรัสที่ทำให้คนตายน้อยลงก็ยิ่งทำให้ไม่สนใจเอดส์ คิดว่าเป็นแล้วไม่ตาย ยังมีคนกลัว “อด” มากกว่า “เอดส์” กลัวอดรายได้ อดไม่สนุกที่ต้องระมัดระวัง ต้องสวมถุงยางอนามัย
ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วเขามีระบบสาธารณสุขแข็งแรง ประชาสังคมและชุมชนเข้มแข็ง จึงป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ได้ทันท่วงที ขณะที่ประเทศด้อยพัฒนาก็มีระบบสาธารณสุขที่ด้อย จึงไม่มีแรงต้านโรคเอดส์และโรคระบาดต่างๆ อย่างที่รู้กัน ผู้ติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่จึงอยู่ในแอฟริกา หลายประเทศผู้ใหญ่กว่าหนึ่งในสี่ติดเชื้อเอชไอวี
การรวบอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง ทำให้ผู้ว่าฯ อู่ฮั่น ผู้ว่าการมณฑลเหอเป่ย ต่างก็อ้างว่า ไม่สามารถเปิดเผยความจริงเรื่องไวรัสโคโรนาตัวนี้ตั้งแต่แรกเพราะไม่ได้รับคำสั่งจากปักกิ่ง
วันนี้ ไม่ได้มีแต่ที่จีน แต่ประเทศกำลังพัฒนาล้วนมีการรวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง อย่างประเทศไทย ที่เห็นได้จากการระบาดของโรคเอดส์ ที่เมื่อไม่อาจต้านทานได้รัฐบาลก็เรียกร้องให้ “ชุมชน” ร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหา จนชาวบ้านนึกว่ารัฐบาลทอดทิ้ง
แพทย์พยาบาลต่างก็ขอร้องให้ญาติผู้ป่วยเอดส์อยู่ด้วยเวลาหมอมาตรวจ และแนะนำว่าเมื่อเอากลับบ้านแล้วให้ดูแลอย่างไร เมื่อก่อนแพทย์พยาบาลมัก “ไล่” ญาติออกไปข้างนอก
แทนที่รัฐบาลจะรณรงค์ให้คนพึ่งตนเองในเรื่องสุขภาพ “คืนสุขภาพให้ประชาชน” โดยการกระจายอำนาจ กระจายงบประมาณ กระจายแพทย์พยาบาลไปสู่ชุมชนให้มากที่สุด ให้ความรู้ชาวบ้านอย่างเหมาะสม กลับปล่อยให้โรงพยาบาลรณรงค์ให้คนไปตรวจสุขภาพประจำปี (อ้างว่าจะได้ป้องกันโรคแต่เนิ่นๆ)
โรงพยาบาลต่างๆ โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนจึงมี “โปรโมชัน” กันเต็มไปหมด เพราะเมืองไทยมีอะไรที่พิสดารกว่าประเทศอื่นๆ โรงพยาบาลเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งรู้กันดีว่า ถ้าจะระดมทุนก็ต้องทำกำไร โรงพยาบาลทำกำไรจากธุรกิจสุขภาพของประชาชน
ทั้งๆ ที่การดูแลสุขภาพให้ดีมีอีกมากมายหลายวิธี ที่อาจไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินหลายพันบาทเพื่อตรวจสุขภาพประจำปี
ความตายของนายแพทย์หนุ่มชาวจีนน่าจะเป็นอะไรมากกว่า “น้ำยาบ้วนปาก” ของผู้มีอำนาจที่กุมชะตากรรมความเป็นความตาย ความเจ็บไข้ได้ป่วยของประชาชนไว้ในมือของตนเอง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก 18 ปีที่แล้วที่ซาร์สระบาดที่เมืองจีนก็เพราะรัฐบาลปิดบังเรื่องโรคนี้ ไม่เปิดเผยข้อมูล จนเมื่อเอาไม่อยู่ถึงได้เปิด
เพราะไม่ว่าคุณจะมีอำนาจล้นฟ้าปานใด ก็ไม่อาจยับยั้งการระบาดของโรคร้ายบางชนิดได้
บ้านเรามีแต่ข่าวแจกหน้ากากอนามัย และไปทะเลาะกับฝรั่งที่รู้สึกว่าคนไทย “เว่อร์” ไปหรือเปล่า ปล่อยให้นักการเมืองเล่นงิ้วออกสื่อเป็นรายวัน
ที่เยอรมนีมีการสำรวจความเห็น คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าไวรัสโคโรนาใหม่นี้ร้ายแรงน่ากลัวจนต้องสวมหน้ากากอนามัย และองค์การอนามัยโลกก็ไม่ได้แนะนำ เพราะที่เยอรมนีคนเป็นไข้หวัดใหญ่ปีละ 25,000 คน ตายปีละเป็นพัน
องค์การอนามัยโลก ออกคลิปให้คำแนะนำที่ชัดเจนว่า เรา “ไม่จำเป็น” ที่จะต้องใส่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ถ้าเราไม่ได้ต้องคอยดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ เพราะเชื้อนี้กระจายผ่านทางละอองน้ำลายจากการไอจาม ไม่ใช่ลอยมาตามกระแสลม
องค์การอนามัยโลก ยังเตือนด้วยว่า การใส่หน้ากากอนามัยอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอต่อการป้องกันเชื้อไวรัส จำเป็นที่จะต้องดูแลสุขอนามัยอย่างอื่นด้วย โดยเฉพาะการล้างมือบ่อยๆ