ผู้จัดการรายวัน 360 - “คลัง” อัดฉีดอีก 4.5 พันล้านบาท ออกชุดมาตรการภาษีหนุนธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ทั้งยืดเวลาจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สนับสนุนการอบรม การปรับปรุงโรงแรม ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันให้กลุ่มสายการบินเหลือ 0.20 บาท/ลิตร พร้อมให้ 3 แบงก์รัฐปล่อยกู้อัตราดอกเบี้ยพิเศษวงเงินรวม 1.25 แสนล้าน ตลาดหุ้นไทยเด้งรับบวก 23 จุด
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการการเงินและการคลัง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยวในปี 63 ประกอบไปด้วย 4 มาตรการคือ
1.การขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 91 ซึ่งจะสิ้นสุดระยะเวลาภายในเดือน มี.ค. 63 โดยให้กำหนดเวลาดังกล่าวออกไปเป็นภายในเดือน มิ.ย. 63 หรือขยายระยะเวลาออกไปอีก 3 เดือน
2.มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอบรมสัมมนาภายในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 63 เป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์ 1 พันราย คิดเป็นเงินภาษีที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายภาษีเองอยู่แล้ว 435 ล้านบาท รัฐจะสูญเสียรายได้จากการจ่ายคืนเงินค่าลดหย่อนภาษีให้เอกชน 87 ล้านบาท
3.ภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงกิจการโรงแรม โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมหักรายจ่ายสำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้น มาใช้หักเป็นค่าใช่จ่ายได้ 1.5 เท่าของค่าใช้จ่ายตามจำนวนที่ได้จ่ายจริง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 63 รัฐจะสูญเสียรายได้ในรูปการขอคืนภาษีจากการหักค่าเสื่อมตลอดเวลา 20 ปี รวม 2.4 พันล้านบาท หรือราว 120 ล้านบาท/ปี
4. การลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินฯ ที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเที่ยวบินในประเทศ จากเดิม 4.726 บาทต่อลิตร เหลือ 0.20 บาทต่อลิตร มาตรการนี้จะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 60 คาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ราว 2 พันล้านบาท ส่วนผู้ให้บริการขนส่งรายอื่นๆ สามารถเสนอข้อเรียกร้องเข้ามาได้
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติให้กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการทางการเงินเพื่อขยายระยะเวลาการชำระหนี้และค่าธรรมเนียมจากผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ไปสู่ธุรกิจภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวด้วย โดยกำหนดให้ธนาคารออมสินขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้ 2 เท่าของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญา แต่สูงสุดไม่เกิน 5 ปี ขณะที่ให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) พักชำระหนี้เงินต้นสำหรับเงินกู้ยืมระยะยาวที่มีวงเงินคงเหลือไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นเวลา 6 เดือน โดยลูกหนี้ต้องมีประวัติการผ่อนชำระหนี้ดีไม่น้อยกว่า 6 เดือน ก่อนวันเข้าร่วมโครงการ และต้องไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
นอกจากนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ยังจะผัดผ่อนการชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน 12 เดือน ต่อเนื่องไม่เกิน 5 ครั้ง หรือสามารถขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้และขยายระยะเวลาการชำระหนี้ได้ไม่เกิน 20 ปี เช่นเดียวกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และงวดผ่อนชำระได้ไม่เกิน 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 0.01% สำหรับลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบ
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังได้เห็นชอบให้ธนาคารออมสิน ธพว. และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทำการปล่อยสินเชื่อวงเงินรวม 1.25 แสนล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 3% ให้แก่ผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยวอีกด้วย
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า มาตรการขยายระยะเวลาการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้บุคคธรรมดารออกไปอีก 3 เดือน จะครอบคลุมทั้งในกลุ่มผู้ยื่นแบบเสียภาษีผ่านระบบออนไลน์ และการยื่นภาษีแบบกระดาษที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาด้วย สำหรับผู้ที่จะขอผ่อนชำระเงินภาษีหลังการยื่นแบบแล้ว การผ่อนชำระงวดแรกจะเกิดขึ้นภายในวันที่ 30 มิ.ย. 63, ส่วนงวดที่ 2 ภายในวันที่ 31 ก.ค. 63, และงวดที่ 3 ภายในวันที่ 31 ส.ค. 63
ตลาดหุ้นไทยเด้งรับมาตรการรัฐบวก 23 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (4 ก.พ.) ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน สอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ฟื้นตัวเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนเชื่อการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาจะเริ่มคลี่คลาย หลังจากเกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงไปแล้วประมาณ 4% บวกกับมาตรการของรัฐบาลที่ออกมาสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว และความคาดหวังการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงินที่จะประชุมในวันนี้ (5 ก.พ.) สนุนสนุนให้หุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงช่วงท้ายตลาด ก่อนจะปิดที่ 1,519.38 จุด เพิ่มขึ้น 23.32 จุด หรือ 1.56% มูลค่าการซื้อขาย 58,698.59 ล้านบาท
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการการเงินและการคลัง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยวในปี 63 ประกอบไปด้วย 4 มาตรการคือ
1.การขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 91 ซึ่งจะสิ้นสุดระยะเวลาภายในเดือน มี.ค. 63 โดยให้กำหนดเวลาดังกล่าวออกไปเป็นภายในเดือน มิ.ย. 63 หรือขยายระยะเวลาออกไปอีก 3 เดือน
2.มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอบรมสัมมนาภายในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 63 เป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์ 1 พันราย คิดเป็นเงินภาษีที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายภาษีเองอยู่แล้ว 435 ล้านบาท รัฐจะสูญเสียรายได้จากการจ่ายคืนเงินค่าลดหย่อนภาษีให้เอกชน 87 ล้านบาท
3.ภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงกิจการโรงแรม โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมหักรายจ่ายสำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้น มาใช้หักเป็นค่าใช่จ่ายได้ 1.5 เท่าของค่าใช้จ่ายตามจำนวนที่ได้จ่ายจริง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 63 รัฐจะสูญเสียรายได้ในรูปการขอคืนภาษีจากการหักค่าเสื่อมตลอดเวลา 20 ปี รวม 2.4 พันล้านบาท หรือราว 120 ล้านบาท/ปี
4. การลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินฯ ที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเที่ยวบินในประเทศ จากเดิม 4.726 บาทต่อลิตร เหลือ 0.20 บาทต่อลิตร มาตรการนี้จะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 60 คาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ราว 2 พันล้านบาท ส่วนผู้ให้บริการขนส่งรายอื่นๆ สามารถเสนอข้อเรียกร้องเข้ามาได้
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติให้กระทรวงการคลังดำเนินมาตรการทางการเงินเพื่อขยายระยะเวลาการชำระหนี้และค่าธรรมเนียมจากผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ไปสู่ธุรกิจภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวด้วย โดยกำหนดให้ธนาคารออมสินขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้ 2 เท่าของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญา แต่สูงสุดไม่เกิน 5 ปี ขณะที่ให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) พักชำระหนี้เงินต้นสำหรับเงินกู้ยืมระยะยาวที่มีวงเงินคงเหลือไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นเวลา 6 เดือน โดยลูกหนี้ต้องมีประวัติการผ่อนชำระหนี้ดีไม่น้อยกว่า 6 เดือน ก่อนวันเข้าร่วมโครงการ และต้องไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
นอกจากนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ยังจะผัดผ่อนการชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน 12 เดือน ต่อเนื่องไม่เกิน 5 ครั้ง หรือสามารถขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้และขยายระยะเวลาการชำระหนี้ได้ไม่เกิน 20 ปี เช่นเดียวกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และงวดผ่อนชำระได้ไม่เกิน 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 0.01% สำหรับลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบ
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังได้เห็นชอบให้ธนาคารออมสิน ธพว. และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทำการปล่อยสินเชื่อวงเงินรวม 1.25 แสนล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 3% ให้แก่ผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยวอีกด้วย
นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า มาตรการขยายระยะเวลาการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้บุคคธรรมดารออกไปอีก 3 เดือน จะครอบคลุมทั้งในกลุ่มผู้ยื่นแบบเสียภาษีผ่านระบบออนไลน์ และการยื่นภาษีแบบกระดาษที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาด้วย สำหรับผู้ที่จะขอผ่อนชำระเงินภาษีหลังการยื่นแบบแล้ว การผ่อนชำระงวดแรกจะเกิดขึ้นภายในวันที่ 30 มิ.ย. 63, ส่วนงวดที่ 2 ภายในวันที่ 31 ก.ค. 63, และงวดที่ 3 ภายในวันที่ 31 ส.ค. 63
ตลาดหุ้นไทยเด้งรับมาตรการรัฐบวก 23 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (4 ก.พ.) ดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน สอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ฟื้นตัวเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนเชื่อการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาจะเริ่มคลี่คลาย หลังจากเกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงไปแล้วประมาณ 4% บวกกับมาตรการของรัฐบาลที่ออกมาสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว และความคาดหวังการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงินที่จะประชุมในวันนี้ (5 ก.พ.) สนุนสนุนให้หุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงช่วงท้ายตลาด ก่อนจะปิดที่ 1,519.38 จุด เพิ่มขึ้น 23.32 จุด หรือ 1.56% มูลค่าการซื้อขาย 58,698.59 ล้านบาท