ผมมาร่วมประชุม World Summit 2020 ที่กรุงโซลเกาหลีใต้ ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นจับใจอุณหภูมิช่วงนี้ต่ำสุดอยู่ติด -11 ถึง-12 แถมยังมีลมเพิ่มความยะเยือก ต้องมีชุดกันหนาวห่มร่างกายเพียงพอ
และเป็นครั้งแรกของผมที่ได้มาเยือนเกาหลี ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากจะมา เพราะมีปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับคนไทย ที่แอบมาทำงาน รวมทั้งประกอบอาชีพต้องห้าม ถูกห้ามเข้าประเทศก็มาก ถูกส่งตัวกลับก็มี
บนเครื่องจัมโบ้ 747 ของการบินไทย ผู้โดยสารเกือบทั้งลำสวมหน้ากาก สะท้อนให้เห็นความพยายามที่ไม่ให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของโรคร้าย ในสนามบินก็เช่นเดียวกัน คนทุกชาติ ทุกภาษาต่างก็ตระหนักถึงอันตราย
ด้วยเหตุนี้เรื่องโคโรนาไวรัสจึงเป็นเหมือนเรื่องเปิดหัวการถกประเด็นหลักในที่ประชุมซัมมิตครั้งนี้
เป็นการประชุมจัดโดย องค์กรสันติภาพสากล Universal Peace Federation มีผู้เข้าร่วมประชุมจาก 170 ประเทศทั่วโลก ประมาณ 3-5 พันคน และจากเมืองไทยประมาณ 50 คน
ผู้เข้าร่วมมีผู้นำการเมือง และในสาขาอื่นๆ เป็นผู้นำประเทศองค์กรซึ่งมุ่งทำงานเพื่อให้เกิดสันติภาพ
มีเรื่องเสวนาหลากหลาย ทั้งเรื่องบทบาทของสื่อ ปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และล่าสุด เรื่องการระบาดของโคโรนาไวรัส เป็นปฐมบทเปิดงานของปีนี้
เกาหลีใต้มีคนป่วยติดเชื้อโรคไวรัสไม่กี่คน ทั้งๆ ที่อยู่เกือบติดกับจีน ยังไม่มีผู้เสียชีวิต มาตรการป้องกันและตั้งรับมีการคุมเข้มทุกขั้นตอน เที่ยวบินที่ผมมา การบินไทยได้ใช้เครื่องบินขนาดจัมโบ้ 747 กว่าค่อนลำเป็นชาวเกาหลี
สนามบินสุวรรณภูมิขาออกคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา มีคนมาก เป็นฝรั่งตะวันตกเยอะ เท่ากับว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้นำเงินมาใช้จ่ายในไทย มีกลุ่มทัวร์จากเยอรมนี และจากยุโรปอื่นๆ ด้วย
เมื่อโคโรนาไวรัสระบาด มีผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร บริษัทรถทัวร์ ร้านขายสินค้าที่ระลึก ไกด์ และเครือข่ายของคนอื่นๆ ที่จำเป็นต้องพึ่งพาคนสร้างรายได้ดี
จากนี้ไปถ้านักท่องเที่ยวหดหายไปเพราะความกลัวโรคไวรัสนี้ จะทำอย่างไรกับรายได้ที่ลดลงมหาศาล และยิ่งการระบาดของโรคไวรัสนี้ยืดเยื้อต่อเนื่อง ก็จะทำให้ จำนวนนักท่องเที่ยวหายไปพร้อมกับการใช้จ่ายด้วย และเมืองไทยจะทำอย่างไรเมื่อเงินก้อนนี้หายไป
และวิกฤตโคโรนาไวรัสซึ่งยังมีผู้เสียชีวิตและติดเชื้อต่อเนื่องในประเทศจีน และทำให้หลายเรื่องวิกฤตได้พักยกกันชั่วคราว ต่างมุ่งหาทางวิธีรักษาก่อนที่การระบายจะคุมไม่อยู่
เกาหลีใต้ยังไม่มีทางออกถ้ายังไม่มียาป้องกันและรักษาเฉพาะ แต่ก็ทำให้ปัญหาการเผชิญหน้าในคาบสมุทรเกาหลีโดยชาติมหาอำนาจ เช่น จีน สหรัฐฯ และรัสเซียรวมทั้งญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศเอเชียด้วย
ที่ประชุมซัมมิตครั้งนี้ยังพูดถึงความพยายามของชาติมหาอำนาจในการสร้างสันติภาพแบบยั่งยืนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ และยังพูดอีกด้วยว่าพื้นที่รอยต่อของระหว่างสองประเทศถึงจุดที่น่าสนใจที่สุดในโลก และเป็นความท้าทายของทุกฝ่ายที่จะให้พื้นที่บริเวณนั้นเป็นเขตสันติภาพถาวร
อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำเกาหลีใต้ นายคริสโตเฟอร์ ฮิลล์ ก็ยังกล่าวต่อที่ประชุมด้วยความหวังว่าทั้งสองประเทศจะหาทางอยู่ร่วมกันได้โดยที่ชาวโลกไม่กังวลเรื่องสงครามอีกต่อไป
ปัญหาโรคร้อนและภาวะการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ก็ได้รับรายงานเหมือนกัน แต่ยังต้องหาผู้นำมีอำนาจแท้จริงจัดการปัญหานี้
การประชุมซัมมิตครั้งนี้จะมีผู้เข้าประชุมร่วมมีชื่อเสียงอยู่อีกจนถึงวันที่ 6 แต่ผลที่จะตามมานั้นเป็นผลสำเร็จได้มากน้อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้นำประเทศแต่ละฝ่าย เอกชนได้เป็นเพียงแต่ผู้เสนอความคิดและแนวทางเท่านั้น