**เรียกว่าเป็นแรงดีดสะท้อนกลับมาจนแทบไปไม่เป็น จนต้องเงียบเสียงมุดหัวลงใต้โต๊ะไปเลยก็ไม่รู้ กับการที่ฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะพวกพรรคฝ่ายค้านอย่างบางคนในพรรคเพื่อไทย ที่ใช้วิธี“โหนไวรัส” ฉวยโอกาสหวังถล่มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้จมดินในคราวนี้
นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยดังกล่าว ไล่ลงมาตั้งแต่ "เจ๊หน่อย" คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ลงมาจนถึงระดับปลายแถว มีการติดแฮชแท็ก # รัฐบาลเฮงซวย รวมไปถึงฉวยโอกาสเปรียบเทียบโชว์ผลงานของตัวเองในยุคที่เคยเป็นรัฐมนตรี มาสอนมวยว่าทำได้ดีกว่า ในกรณีที่เกิดวิกฤตโรคระบาดเมื่อหลายปีก่อน เช่น โรคซาร์ส และไข้หวัดนก เป็นต้น
ผลกลายเป็นแรงสะท้อนกลับ และเป็นผลงานการประจานตัวเองไปเสียอีก อย่างกรณีในเรื่องแรกที่มีการติดแฮชแท็ก # รัฐบาลเฮงซวย เพื่อหวังดิสเครดิตรัฐบาล จากกรณีการแก้ปัญหา รับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ระบาดมาจากประเทศจีนว่า เป็นการแก้ปัญหาแบบไร้ประสิทธิภาพ โดยพยายามสอนมวยรัฐบาลว่า ทำงานล้มเหลว มีการโจมตีแบบเละเทะ ว่า “ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนไทย”
**โจมตีว่าปล่อยให้คนไทยติดอยู่ที่เมืองอู่ฮั่น มลฑลหูเป่ย ที่เป็นต้นตอแหล่งระบาดของเชื้อไวรัสที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อเวลานี้ กว่า 7 พันคน และมีผู้เสียชีวิตล่าสุด เมื่อวันที่ 30 มกราคม มียอดผู้เสียชีวิตจำนวนถึง 170 คน เข้าไปแล้ว และทางการจีนยังไม่อาจควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้อย่างเด็ดขาด แม้ว่าจะมีแนวโน้มการติดเชื้อจะเริ่มลดลง หลังจากมีการใช้มาตรการควบคุมอย่างเข้มข้น ถึงขั้นปิดเมืองห้ามคนเข้าออกมาระยะหนึ่งแล้ว
แต่จนถึงเวลานี้การแพร่ระบาดก็คงยังมีอยู่ต่อไป โดยเฉพาะมีผู้เสียชีวิตที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน และด้วยสถานการณ์นี้เอง ที่ทำให้เกิดข่าวลือ ข่าวปลอม ออกมาเป็นจำนวนมากในโลกโซเชียลฯ ที่มีทั้งการปล่อยข่าวด้วยเจตนาเพื่อสร้างความตื่นตระหนก หรือบางครั้งก็ทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือมีความคึกคะนอง แต่สำหรับฝ่ายการเมืองที่ฉวยโอกาสใช้สถานการณ์โรคระบาดแบบนี้โจมตีฝ่ายตรงข้ามในทางการเมือง โดยใช้ข้อมูลที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง เช่น ระบุว่าทำนองว่ารัฐบาลไม่เห็นหัวคนไทย ปล่อยให้“เสี่ยงตาย”อยู่กับโรคระบาดในเมืองอู่ฮั่น ไม่ยอมส่งเครื่องบินไปรับคนไทยที่ติดค้างอยู่ที่นั่นกลับมา เปรียบเทียบกับหลายประเทศที่อ้างว่าส่งเครื่องบินไปรับพลเมืองของพวกเขากลับมาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ หรืออีกหลายประเทศ ที่ดำเนินการไปแล้ว
**กลายเป็นว่าข้อเท็จจริงก็คือ การที่จะบินไปรับพลเมืองที่นั่น จะต้องได้รับอนุญาตจากประเทศจีนเสียก่อน และยังขึ้นอยู่กับการพิจารณาและมีเงื่อนไขของเจ้าของประเทศนั้นว่า จะมีการเรียงลำดับกันอย่างไร ล่าสุดก็มีเพียงประเทศญี่ปุ่น และอีกบางประเทศไม่กี่ประเทศเท่านั้น ที่ได้รับการอนุญาตให้ส่งเครื่องบินไปรับกลับมาได้
อย่างไรก็ดี ข้อดีของการได้สัมผัสกับโลกโซเชียลฯ เมื่อมีทางลบก็ย่อมมีทางบวก หรือเมื่อเสพข้อมูลด้านหนึ่งแล้ว อีกด้านหนึ่งมันก็สามารถดึงสติให้กลับมาคิด เริ่มรับฟังคำอธิบาย คำชี้แจงได้เข้าใจสถานการณ์ตามความเป็นจริงมากขึ้น เหมือนกับกรณีที่สาเหตุที่รับรู้กันแล้วว่า การที่จะนำเครื่องบินไปรับคนไทยที่นั่น จะต้องได้รับการอนุญาตจากทางการจีนเสียก่อน และสำหรับเครื่องบินทหาร จะไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด หรือไม่ก็ต้องได้รับการพิจารณาอย่างเข้มงวด
สำหรับกรณีของพรรคเพื่อไทย ที่ก่อนหน้าโหมกระพือโจมตีในเรื่องดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค ที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่พยายามอวดอ้างผลงานในยุคที่ต้องเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนก หรือแม้แต่โรคซาร์ส เมื่อหลายปีก่อน แต่กลายเป็นว่า ในเหตุการณ์ครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิตนับสิบราย และมาพร้อมกับการถูกกล่าวหาว่ามีการ“ปกปิดข้อมูล”จนทำให้ประเทศเสียความเชื่อมั่นในสายของนานาชาติ
ขณะเดียวกันปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกำลังกลายเป็นแรงสะท้อนที่ดีดกลับมาแรงไม่น้อยเหมือนกัน กลายเป็นว่าเวลานี้คนในพรรคเพื่อไทยบางคนที่นำเรื่อง“ไวรัสอู่ฮั่น”มาโจมตีรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเงียบเสียงลง กลายเป็นลบลงไปกว่าเดิม ไม่ได้เป็นผลบวกในทางการเมืองอย่างที่ตัวเองต้องการ
**อีกด้านหนึ่งมันก็ยังเป็นบทเรียนได้อย่างดีสำหรับนักการเมืองที่ต้องพิจารณากันให้รอบคอบกว่าเดิม เหมือนกับที่คนในพรรคเพื่อไทยบางคนกำลังเจออยู่ในเวลานี้ !!
นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยดังกล่าว ไล่ลงมาตั้งแต่ "เจ๊หน่อย" คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ลงมาจนถึงระดับปลายแถว มีการติดแฮชแท็ก # รัฐบาลเฮงซวย รวมไปถึงฉวยโอกาสเปรียบเทียบโชว์ผลงานของตัวเองในยุคที่เคยเป็นรัฐมนตรี มาสอนมวยว่าทำได้ดีกว่า ในกรณีที่เกิดวิกฤตโรคระบาดเมื่อหลายปีก่อน เช่น โรคซาร์ส และไข้หวัดนก เป็นต้น
ผลกลายเป็นแรงสะท้อนกลับ และเป็นผลงานการประจานตัวเองไปเสียอีก อย่างกรณีในเรื่องแรกที่มีการติดแฮชแท็ก # รัฐบาลเฮงซวย เพื่อหวังดิสเครดิตรัฐบาล จากกรณีการแก้ปัญหา รับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ระบาดมาจากประเทศจีนว่า เป็นการแก้ปัญหาแบบไร้ประสิทธิภาพ โดยพยายามสอนมวยรัฐบาลว่า ทำงานล้มเหลว มีการโจมตีแบบเละเทะ ว่า “ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนไทย”
**โจมตีว่าปล่อยให้คนไทยติดอยู่ที่เมืองอู่ฮั่น มลฑลหูเป่ย ที่เป็นต้นตอแหล่งระบาดของเชื้อไวรัสที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อเวลานี้ กว่า 7 พันคน และมีผู้เสียชีวิตล่าสุด เมื่อวันที่ 30 มกราคม มียอดผู้เสียชีวิตจำนวนถึง 170 คน เข้าไปแล้ว และทางการจีนยังไม่อาจควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้อย่างเด็ดขาด แม้ว่าจะมีแนวโน้มการติดเชื้อจะเริ่มลดลง หลังจากมีการใช้มาตรการควบคุมอย่างเข้มข้น ถึงขั้นปิดเมืองห้ามคนเข้าออกมาระยะหนึ่งแล้ว
แต่จนถึงเวลานี้การแพร่ระบาดก็คงยังมีอยู่ต่อไป โดยเฉพาะมีผู้เสียชีวิตที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน และด้วยสถานการณ์นี้เอง ที่ทำให้เกิดข่าวลือ ข่าวปลอม ออกมาเป็นจำนวนมากในโลกโซเชียลฯ ที่มีทั้งการปล่อยข่าวด้วยเจตนาเพื่อสร้างความตื่นตระหนก หรือบางครั้งก็ทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือมีความคึกคะนอง แต่สำหรับฝ่ายการเมืองที่ฉวยโอกาสใช้สถานการณ์โรคระบาดแบบนี้โจมตีฝ่ายตรงข้ามในทางการเมือง โดยใช้ข้อมูลที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง เช่น ระบุว่าทำนองว่ารัฐบาลไม่เห็นหัวคนไทย ปล่อยให้“เสี่ยงตาย”อยู่กับโรคระบาดในเมืองอู่ฮั่น ไม่ยอมส่งเครื่องบินไปรับคนไทยที่ติดค้างอยู่ที่นั่นกลับมา เปรียบเทียบกับหลายประเทศที่อ้างว่าส่งเครื่องบินไปรับพลเมืองของพวกเขากลับมาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ หรืออีกหลายประเทศ ที่ดำเนินการไปแล้ว
**กลายเป็นว่าข้อเท็จจริงก็คือ การที่จะบินไปรับพลเมืองที่นั่น จะต้องได้รับอนุญาตจากประเทศจีนเสียก่อน และยังขึ้นอยู่กับการพิจารณาและมีเงื่อนไขของเจ้าของประเทศนั้นว่า จะมีการเรียงลำดับกันอย่างไร ล่าสุดก็มีเพียงประเทศญี่ปุ่น และอีกบางประเทศไม่กี่ประเทศเท่านั้น ที่ได้รับการอนุญาตให้ส่งเครื่องบินไปรับกลับมาได้
อย่างไรก็ดี ข้อดีของการได้สัมผัสกับโลกโซเชียลฯ เมื่อมีทางลบก็ย่อมมีทางบวก หรือเมื่อเสพข้อมูลด้านหนึ่งแล้ว อีกด้านหนึ่งมันก็สามารถดึงสติให้กลับมาคิด เริ่มรับฟังคำอธิบาย คำชี้แจงได้เข้าใจสถานการณ์ตามความเป็นจริงมากขึ้น เหมือนกับกรณีที่สาเหตุที่รับรู้กันแล้วว่า การที่จะนำเครื่องบินไปรับคนไทยที่นั่น จะต้องได้รับการอนุญาตจากทางการจีนเสียก่อน และสำหรับเครื่องบินทหาร จะไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด หรือไม่ก็ต้องได้รับการพิจารณาอย่างเข้มงวด
สำหรับกรณีของพรรคเพื่อไทย ที่ก่อนหน้าโหมกระพือโจมตีในเรื่องดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค ที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่พยายามอวดอ้างผลงานในยุคที่ต้องเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนก หรือแม้แต่โรคซาร์ส เมื่อหลายปีก่อน แต่กลายเป็นว่า ในเหตุการณ์ครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิตนับสิบราย และมาพร้อมกับการถูกกล่าวหาว่ามีการ“ปกปิดข้อมูล”จนทำให้ประเทศเสียความเชื่อมั่นในสายของนานาชาติ
ขณะเดียวกันปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกำลังกลายเป็นแรงสะท้อนที่ดีดกลับมาแรงไม่น้อยเหมือนกัน กลายเป็นว่าเวลานี้คนในพรรคเพื่อไทยบางคนที่นำเรื่อง“ไวรัสอู่ฮั่น”มาโจมตีรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเงียบเสียงลง กลายเป็นลบลงไปกว่าเดิม ไม่ได้เป็นผลบวกในทางการเมืองอย่างที่ตัวเองต้องการ
**อีกด้านหนึ่งมันก็ยังเป็นบทเรียนได้อย่างดีสำหรับนักการเมืองที่ต้องพิจารณากันให้รอบคอบกว่าเดิม เหมือนกับที่คนในพรรคเพื่อไทยบางคนกำลังเจออยู่ในเวลานี้ !!