xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวปลอมซ้ำเติมวิกฤต-ต้องเชือดโชว์ !?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมืองไทย 360 องศา




แม้ว่านาทีนี้ “ข่าวปลอม”หรือ “เฟกนิวส์” กำลังปลิวว่อนอยู่ทั่วโลก แม้แต่ในประเทศจีนเองที่ถือว่าเป็น “เผด็จการ”เต็มรูปแบบยังต้องเผชิญกับความโกลาหลจากข่าวปลอมดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่ามันยิ่งซ้ำเติมวิกฤต สร้างความหวาดกลัวเพิ่มมากขึ้น

กรณีโรคระบาดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่โคโรนา 2019 ที่มีต้นทางระบาดมาจากเมืองอู่ฮั่น มลฑลหูเป่ย สาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วมาจนถึงบัดนี้ยังไม่อาจควบคุมการแพร่ระบาดได้ เพราะได้ลุกลามออกไปในหลายเมืองใหญ่ หลายมณฑลทั่วประเทศ โดยยอดผู้ติดเชื้อล่าสุดจนถึงวันที่ 29 มกราคมมียอดผู้ติดเชื้อ จำนวน 5,997 ราย เสียชีวิต 132 ราย ซึ่งจนถึงขณะนี้ทางการจีนก็ยังควบคุมการแพร่ระบาดไม่ได้

แต่ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือการ “แพร่ระบาดของเฟกนิวส์” หรือข่าวปลอม ที่กำลังระบาดอย่างหนัก ซึ่งมีหลายประเภททั้งพวกที่เจตนาต้องการทำลาย กับพวกตื่นตูม พวกเกรียนบนโลกเชียลฯที่มักสร้างข่าวให้เกิดความตื่นตระหนก หวังเพิ่มยอดไลท์ ยอดแชร์ หรือพวกที่แชร์เรื่องราวภาพข่าวเฟกนิวส์โดยไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งข่าวประเภทนี้กำลังสร้างความตื่นตระหนกขึ้นไปทั่วโลก

อย่างไรก็ดีสำหรับประเทศจีนในเวลาถือว่ากำลังใช้มาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวอย่างเต็มพิกัดแล้ว มีทั้งการประกาศปิดเมืองอู่ฮั่นห้ามคนเข้าออก รวมไปถึงเมืองอื่นในทุกมณฑลที่มีการแพร่ระบาด เรียกว่า “จัดเต็ม” โดยคำสั่งของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง และมีนายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงลงพื้นที่ไปบัญชาการและให้กำลังใจอย่างเต็มที่

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากการรายงานข้อมูลของทางการจีนในกรณีการระบาดของเชื้อไวรัวโคโรนาในคราวนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโรคซาส์ เมื่อหลายปีก่อน ที่คราวนั้นถูกมองว่าทางการจีนปกปิดข้อมูลมานาน ซึ่งผิดกับคราวนี้ที่ทางการจีนโดยคำสั่งของประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ที่ให้เปิดเผยข้อมูลจริงอย่างเต็มที่ รวมทั้งรีบรายงานการแพร่ระบาดไปยังองค์การอนามัยโลกอย่างรวดเร็วจนได้รับคำชมเชย และล่าสุดองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศว่าไม่จำเป็นต้องมีการอพยพชาวต่างชาติออกมาจากประเทศจีน เพราะมั่นใจในมาตรการของทางการจีนในการควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดีเมื่อต้องมาเจอกับ “เฟกนิวส์” ที่กำลังระบาดอย่างหนักในจีนก็ถือว่าน่าเป็นห่วงเหมือนกัน

ขณะเดียวกันเมื่อวกกลับมาที่ประเทศไทยที่เวลานี้ถือว่าเป็นประเทศที่มีคนติดเชื้อไวรัสโคโรนานอกประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศต้นทางในการระบาดมากที่สุด โดยยอดล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 14 คน แต่ที่ผ่านมาสามารถรักษาให้หายและสามารถกลับบ้านได้แล้วจำนวน 5 คน โดยทุกคนที่ติดเชื้อมาจากต่างประเทศคือประเทศจีนทั้งสิ้น

สำหรับมาตรการในการเฝ้าระวังและการควบคุมโรคในประเทศไทยเวลานี้ถือว่าได้มาตรฐานสากลติดอันดับ 6 ของโลก และเมื่อเกิดการระบาดประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศแรกๆที่มีการแจ้งเตือนได้รวดเร็วก่อนประเทศต้นทางคือประเทศจีนเสียอีก รวมไปถึงนักวิทยาศาสตร์ของไทยที่สามารถแยกพันธุธรรมพบเชื้อไวรัสตัวนี้ว่ามาจากค้างคาวก่อนใครเสียอีก

ที่สำคัญถือว่าประเทศไทยมีมาตรการในการรับมือเข้าขั้นมาตรฐานโลก อีกทั้งมีประสบการณ์เมื่อครั้งเกิดวิฤตโรคซาร์ส และไข้หวัดนกเมื่อหลายปีก่อน และที่ผ่านมาไทยได้สร้างมาตรฐานทางการแพทย์ได้อย่างดี และได้รับความเชื่อถือ ขณะเดียวกันสำหรับเชื้อไวรัสโคโรนาดังกล่าวนี้จะว่าไปแล้วยังมีความร้ายแรงน้อยกว่า โรคซาร์ส หรือ เชื้อไข้หวัดนก 2009 ที่เคยแพร่ระบาดเสียอีก เพราะสามารถป้องกันได้ และสามารถดูแลรักษาให้หายได้ และภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือบรรดา “ข่าวปลอม” หรือเฟกนิวส์ที่มีเจตนาปล่อยข่าว แชร์ข่าวแบบคึกคะนอง ผสมปนเปไปกับพวกนักการเมืองที่ “เลว” เนื่องจากมีความต้องการเพียงแค่ดิสเครดิตรัฐบาล หรือดิสเครดิตคัว นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น กลับสร้างความสับสนบิดเบือนให้กับประชาชน และประเทศชาติแบบไม่ยั้งคิด ทั้งที่ทางที่ดีควรละเรื่องการชิงดีชิงเด่นกันลงไปชั่วคราว เอาบ้านเมืองมาก่อน

ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องตั้งคำถามในเวลานี้ก็คือหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งฝ่ายตำรวจ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง กับพวกที่มีเจตนาปล่อย “ข่าวปลอม” ทำลายความมั่นคงของชาติแบบนี้ไปแล้วบ้าง เพราะเวลานี้มีหลายประเทศโดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย และสิงคโปร์ที่เอาจริงกับเรื่องแบบนี้โดยมีโทษจำคุก และปรับอย่างหนัก

ซึ่งจะว่าไปแล้วเชื้อไวรัสโคโรนาที่ว่าน่ากลัวแล้ว ยังน้อยกว่าพวกการเมืองอีแอบที่ผสมโรงปล่อยข่าวทำลายความมั่นคง ทำลายเศรษฐกิจของชาติเสียอีก !!


กำลังโหลดความคิดเห็น