เมืองไทย 360 องศา
ถึงอย่างไรนาทีนี้ต้องยืนยันว่าประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุขยังสามารถควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งเป็นโรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสดังกล่าวซึ่งระบุว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่เริ่มแพร่ระบาดมาจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ยของจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมั่นใจได้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆที่ตื่นตัวในการป้องกันและเปิดเผยข้อมูลให้ชาวบ้านและชาวโลกได้รับรู้ และในทางตรงกันข้ามชาวบ้านเสียอีกที่ไม่ค่อยให้ความสนใจในช่วงแรกๆที่ทางการเริ่มมีคำเตือนและให้เฝ้าระวังออกมา อาจเป็นเพราะสถานการณ์การระบาดในต่างประเทศคือในประเทศจีนยังไม่ได้ลุกลามออกไปในหลายเมืองทั่วประเทศแบบนี้
แต่เมื่อความรุนแรงมากขึ้น ประกอบด้วยโลกไร้พรมแดน และพวกโชเชียลฯจำนวนมากที่ละเลงส่งต่อกันแบบไร้ความรับผิดชอบ มันก็ยิ่งเป็นกระแสให้เกิดความตื่นตูมและตื่นกลัวจนเกินพอดี
แม้ว่าเชื้อไวรัสดังกล่าวจะมีความน่ากลัว และทำให้เวลานี้ในประเทศจีนมีผู้เสียชีวิตไปแล้วจำนวน 57 คน ซึ่งเป็นตัวเลขจากทางการจีนเมื่อวันที่ 27 มกราคม ขณะที่มีผู้ติดเชื้อสะสมพุ่งขึ้นมาถึง 2,744 ราย และยังไม่มีทีท่าว่าจะควบคุมการแพร่ระบาดลงได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ แต่เมื่อพิจารณาจากมาตรการและการรับมือและการป้องกันของทางการจีน ที่ทางผู้นำของเขาคือ ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ที่เร่งประชุมอย่างเร่งด่วนและออกมาตรการฉุกเฉินตามมาอย่างเข้มข้นและเด็ดขาด ทั้งในเรื่องของคำสั่งปิดเมือง สั่งสร้างโรงพยาบาลใหม่ให้เสร็จภายในเวลา 6 วันสำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคนี้โดยเฉพาะในเมืองอู่ฮั่น รวมไปถึงการประกาศมาตรการฉุกเฉินในหลายเมืองใหญ่ และล่าสุดก็มีคำสั่งให้ขยายเวลาวันหยุดเทศกาลตรุษจีนออกไปจนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์เป็นต้น สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและเอาจริงเอาจังการควบคุมโรคระบาดในครั้งนี้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ดีจากข้อมูลทางการแพทย์ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อเทียบกับ “โรคซาร์” ในอดีตที่เคยแพร่ระบาดในจีนเหมือนกันเมื่อราว 20 ปีก่อน ถือว่าความร้ายแรงยังน้อยกว่า หรือแม้แต่กรณีของการระบาดของเชื้อ “ไข้หวัดนก” ที่เวลานั้นแต่ละประเทศยังไม่มีประสบการณ์ในการควบคุมและป้องกันการแพร่ของโรค ซึ่งก็รวมถึงประเทศไทยด้วย ในเวลานั้นได้สร้างความตื่นตระหนกกันไปทั่ว และที่สำคัญในตอนนั้นยังมีการ “ปิดบังข้อมูล” อีกด้วยก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
แต่สำหรับคราวนี้ทางการจีนได้มีการเปิดเผยข้อมูลและรายงานการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวไปยังองค์การอนามัยโลกอย่างเร็วมาก เพียงแค่ราวหนึ่งเดือนหลังมีการตรวจสอบพบ พร้อมทั้งออกมาตรการอย่างเข้มข้นและเด็ดขาดมากดังกล่าว
เมื่อวกมาที่ประเทศไทยก็ต้องยอมรับเช่นเดียวกันว่า กระทรวงสาธารณสุขมีความตื่นตัวที่รวดเร็วมาก ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเรามีประสบการณ์ในการแพร่ระบาดของโรคซาร์ และไข้หวัดนกในอดีต และที่น่าภูมิใจก็คือเราได้รับคำชมจากองค์การอนามัยโลก ในเรื่องมาตรการในการป้องกันที่ได้มาตรฐาน เป็นที่เชื่อถือได้ของโลกเลยทีเดียว ขณะเดียวกันนาทีนี้ก็ต้องให้เครดิตกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และบุคลากรของกระทรวงทั้งหมดที่ทุ่มเทในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคจากต่างประเทศเข้ามาได้อย่างค่อนข้างดี โดยเฉพาะการคัดกรองที่สนามบินทั่วประเทศอย่างเข้มงวดและได้มาตรฐาน
จนเวลานี้พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อดังกล่าวทั้งที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนและคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศจีนรวมแล้วล่าสุดอยู่ที่ 8 รายและสามารถรักษาอาการจนหายและกลับบ้านไปแล้วจำนวน 5 ราย ส่วนที่เหลือก็อาการดีขึ้นแล้ว
ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องย้ำกันก็คือจากข้อมูลทางการแพทย์ก็ยืนยันว่าแม้เชื้อไวรัสของโรคดังกล่าวจะมีความน่ากลัว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีของโรคซาร์ หรือแม้แต่ไข้หวัดนก หรือกระทั่งโรค “อีโบล่า”ที่เคยระบาดในทวีปแอฟริกาในอดีตก็ยังถือว่ายังเบากว่ามาก อีกทั้งการเตรียมการรับมือป้องกันก็มีความพร้อมมากกว่ามาก และที่สำคัญก็คือการตื่นตัว และการป้องกัน การรับมืออย่างมีสติไม่ตื่นกลัวจนเกินเหตุ การรู้จักป้องกันและดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด มันก็จะทำให้ควบคุมโรคไม่ได้แพร่กระจาย
อย่างไรก็ดีนาทีนี้กลับกลายเป็นว่ายังมีคนไทยอีกจำพวกหนึ่งที่เหมือนกับมีความต้องการให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ต้องการให้สถานการณ์เลวร้ายเข้าขั้นวิกฤต เพื่อหวังผลทางการเมืองเพียงแค่ต้องการดิสเครดิตรัฐบาล ดิสเครดิต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกันหากพิจารณาจากการทำงานของฝ่ายรัฐบาลที่ผ่านมา แม้ว่าจะเตรียมการแก้ปัญหาเอาไว้อย่างรัดกุมเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่าการประชาสัมพันธ์ การสร้างการรับรู้กับประชาชนยังสร้างกระแสได้ไม่ดีพอและฉับไว ไม่ทันกับ “กระแสปั่น”ในโลกโซเชียลฯ ที่รุมกระหน่ำอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งคนในประเภทอย่างหลังนี่แหละน่ากลัวกว่า เชื้อไวรัสโรนา เสียอีก !!