xs
xsm
sm
md
lg

ปีชงเศรษฐกิจไทย เจอโรคซ้ำกรรมซัด

เผยแพร่:   โดย: นพ นรนารถ



“เมื่อจีนเริ่มจาม โลกจะติดหวัด” คำเปรียบเทียบนี้ แสดงถึงขนาดความสำคัญของเศรษฐกิจจีน และความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก อย่างแยกกันไม่ออก จีนเป็นอะไร ประเทศอื่นก็เป็นไปด้วย หนักเบาขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละประเทศ

สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นมา 2 ปีแล้ว ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออก ได้รับผลกระทบกันทั่วหน้า

การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ในจีน หรือไวรัส “อู่ฮั่น” ขณะนี้กำลังส่งผลสะเทือนทางเศรษฐกิจต่อประเทศที่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวจากจีน เมื่อ กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวสาธารณรัฐประชาชนจีน ออกประกาศด่วนตามคำสั่งของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ให้บริษัทนำเที่ยวทั่วประเทศหยุดดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยว หยุดขายตั๋วเครื่องบินและโรงแรมเพื่อควบคุมไม่ให้ไวรัสอู่ฮั่นแพร่ระบาดไปทั่วโลก

ปัจจุบันมีชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกจำนวนมากกว่า 100 ล้านคนต่อปี ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว หรือแอตต้า เปิดเผยว่า ในช่วงปกติจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยเฉลี่ยเดือนละ 9 แสนคน ครึ่งหนึ่งมากับบริษัททัวร์ หากคำสั่งนี้มีระยะเวลา 2 เดือน เท่ากับว่า นักท่องเที่ยวจีน 9 แสนคนที่มากับทัวร์จะหายไปทั้งหมด

ส่วนอีกครึ่งที่เดินทางมาเอง ก็คงหายไปส่วนหนึ่ง โดยภาพรวมคาดว่า นักท่องเที่ยวจีนในช่วง 2 เดือนนี้จะหายไป 70% ของ 1.8 ล้านคน หรือประมาณ 1.2-1.3 ล้านคน ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวหายไปประมาณ 48,000 -52,000 ล้านบาท

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัวลง ส่งผลให้การส่งออกซึ่งเป็นเครื่องจักรเศรษฐกิจหลักมีสัดส่วนถึง 70% ของจีดีพีดับสนิท ก็ได้รายได้จากนักท่องเที่ยวจีนมาช่วยต่อลมหายใจเศรษฐกิจได้บ้าง แต่ตอนนี้สายออกซิเจนถูกดึงออกไปแล้วเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน และถ้าจีนยังคุมการระบาดไม่ได้ภายใน 2-3 เดือนนี้ ผลกระทบจะยิ่งลุกลามขยายตัวออกไป ไม่เฉพาะกับไทย แต่มีผลต่อเศรษฐกิจโลกด้วย

ถึงแม้ว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะเตรียมหาตลาดใหม่ๆ ทั้งอาเซียน รวมทั้งเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดียมาชดเชยนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป แต่ก็คงทดแทนได้บางส่วนซึ่งน่าจะน้อยมาก เพราะนักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวไทยมีจำนวนมากเกินกว่าจะหาตลาดใหม่มาทดแทนได้อย่างสมบูรณ์

เศรษฐกิจไทยเริ่มศักราชใหม่ก็ต้องประสบกับโรคซ้ำกรรมซัด ความหวังว่า ปีนี้จะผงกหัวขึ้นมาได้ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว บัดนี้ความหวังค่อนข้างจะลางเลือน แค่ประคองไม่ให้ทรุดหนักลงไปอีกก็เหนื่อยแล้ว

ก่อนหน้าการระบาดของไวรัสอู่ฮั่นจะลุกลามจนจีนต้องใช้มาตรการเข้มงวดเข้าควบคุม เศรษฐกิจไทยปี 2563 เจออุปสรรคที่เหนือความคาดหมาย เมื่อ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย 2 คน ถูกจับได้ว่า ให้คนอื่นเสียบบัตรลงคะแนนรับรองร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณ พ.ศ. 2563 วาระ 2 และ 3 เพราะในวันที่ลงมติมีหลักฐานว่า ส.ส.ทั้ง 2 คนไม่อยู่ในที่ประชุม คือ นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ส.ส.พัทลุง อยู่ที่พัทลุง และนางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อยู่ที่ประเทศจีน

เรื่องนี้ทำให้ต้องมีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า จะทำให้ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณเป็นโมฆะหรือไม่ ส่งผลให้การใช้งบประมาณปี 2563 ซึ่งล่าช้ามาแล้ว 5 เดือนต้องยืดเยื้อออกไปอีก และหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การลงมติแทนกันไม่ชอบด้วยกฎหมายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเป็นโมฆะ ต้องทำใหม่ จะต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 3-4 เดือน

ความล่าช้าของกฎหมายงบประมาณ ทำให้หน่วยราชการไม่สามารถใช้งบลงทุนมูลค่าหลายแสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลหวังว่า งบลงทุนนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ได้ แต่ ณ วันนี้ทำท่าว่า ปีนี้อาจจะไม่ได้ใช้งบลงทุนนี้แล้ว

เป็นความโชคร้ายของเศรษฐกิจไทยที่ต้องเจอ 2 เด้ง เด้งแรก เป็นความไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของคน ทำให้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณมีปัญหา เรื่องที่สอง เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมเพราะเป็นการระบาดของไวรัส และเกิดขึ้นที่จีน แต่ส่งผลกับเรา

หรือว่าปีนี้ เป็นปีชงของเศรษฐกิจไทย


กำลังโหลดความคิดเห็น