ก็ถือว่าเป็นไปตามการคาดการณ์ของหลายคนที่มองตรงกันว่า คดีที่พรรคอนาคตใหม่และบรรดาคณะผู้บริหารพรรค ตั้งแต่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล ลงไป ถูกร้องให้ยุบพรรคในคดีล้มล้างการปกครองฯ ว่าไม่น่าจะถึงขั้นยุบพรรค ซึ่งผลจากการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 21 มกราคม ก็เป็นไปตามนั้น
** สรุปความก็คือ ยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอตามคำร้องว่ากระทำผิด จึงให้ยกคำร้อง
สำหรับคดีนี้ นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ เป็นการใช้สิทธิ์หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไม่
อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า จะว่าไปแล้วคดีนี้หลายคนก็มองเห็นตรงกันแล้วว่า “ยังไม่ถึงขั้นยุบพรรค”แต่ก็ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาก่อน ซึ่งก็ไม่ได้ผิดความคาดหมายเท่าใดนัก แต่ถึงอย่างไรก็สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับพรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะบรรดาแกนนำพรรค ทั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ให้ต้องสงบปากสงบคำลงกว่าเดิมหรือไม่ เพราะคำร้องในความผิดคดีดังกล่าว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวของพวกเขาในอดีตที่ต่อเนื่องกันมา
**โดยเฉพาะท่าทีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีปรากฏทั้งในแบบคลิปภาพและเสียง หลายครั้งหลายครา
หรือแม้แต่ข้อบังคับของพรรคนี้ก็ผิดแผกไปจากพรรคอื่นโดยทั่วไป ที่มีเฉพาะคำว่า“หลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ”ไม่มีคำว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งหลังจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะแจ้งไปยังนายทะเบียนพรรคการเมือง ให้พรรคอนาคตใหม่ แก้ไขให้สมบูรณ์ต่อไป ทำให้ต้องมาติดตามกันต่ออีกว่า พวกเขาจะยอมแก้ไข หรือจะมีการเลี่ยงไปใช้คำอื่นหรือไม่ อย่างไร
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งหากพิจารณากันจากความเคลื่อนไหวของบรรดาแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ก็เหมือนกับมีความมั่นใจในระดับหนึ่งแล้วว่า คดีนี้ไม่น่าจะถึงขั้นยุบพรรค เพราะสังเกตได้ว่า แทบจะไม่มีการยื่นใบลาออกจากตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคล่วงหน้าแต่อย่างใด มีเพียงหนึ่งหรือสองคน ที่ยื่นใบลาออกเท่านั้น ซึ่งก็เป็นระดับ“โนเนม”ไม่ค่อยมีความหมายต่อพรรคเท่าใดนัก
อย่างไรก็ดี สำหรับพรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะบรรดาแกนนำพรรคคนสำคัญ เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รวมทั้งคณะกรรมการบริหารพรรค เพราะยังต้องเจอกับ “วิบากกรรม”ในอีกคดีสำคัญนั่นคือ คดี “ปล่อยเงินกู้”ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ไปแล้ว และเมื่อกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญได้แจ้งให้ผู้ถูกร้อง คือ พรรคอนาคตใหม่ยื่นคำชี้แจงภายใน 15 วัน แม้ว่าในเวลานี้จะครบกำหนดไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า จะมีการขอขยายเวลาออกไปหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ถือว่ามีความคืบหน้าจนใกล้จะนับถอยหลังกันแล้ว
คดีดังกล่าวนี้ มีสาเหตุมาจากการที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไปบรรยายที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ หลังจากมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ไปไม่กี่วันว่า เขาได้ให้พรรคอนาคตใหม่กู้เงินเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้ง โดยตอนนั้นเขาไม่ได้ระบุตัวเลขแน่ชัด แต่ราวๆร้อยกว่าล้านถึงสองร้อยกว่าล้านบาท พร้อมกับระบุว่า เป็นเพราะกฎหมายพรรคการเมืองไม่เอื้ออำนวย หรือกล่าวในทำนองประมาณว่า เป็นผลพวงจาก “ผู้มีอำนาจ”
**แต่กลายเป็นว่าคำพูดดังกล่าว“รัดคอ”ตัวเอง เพราะหากไม่พูดก็คงยังไม่มีใครรู้ และก็ทำให้มีคนไปร้องกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้ตรวจสอบ ว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับปี 2560 หรือไม่ เนื่องจากในข้อกำหนดเกี่ยวกับการหารายได้ของพรรคการเมือง ไม่ปรากฏว่ามีเรื่องการกู้เงินเอาไว้ด้วย
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากคดี “ปล่อยเงินกู้”ดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องสอบสวนในเรื่องข้อเท็จจริง เพราะในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็มีเรื่องปล่อยเงินกู้จำนวน 191.2 ล้านบาท ปรากฏเอาไว้ด้วย ก็ถือว่าชัดเจนในเรื่องนี้
ดังนั้นสิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อก็คือ“ข้อกฎหมาย”ว่ามีความผิดหรือไม่ อย่างไร ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญคงจะมีขั้นตอนในการพิจารณาอีกไม่นานนัก หลังจากที่ส่งหนังสือไปให้พรรคอนาคตใหม่มาชี้แจง หรือหากมีการขอขยายเวลา ซึ่งก็ต้องมาลุ้นกันว่า ศาลฯจะอนุญาตให้ หรือไม่ แต่ถือว่าน่าจะใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
**อีกทั้งหากพิจารณาจาก “ลำหักลำโค่น”ของคดีปล่อยเงินกู้ ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้กับพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191.2 ล้านบาทที่มีการยื่นคำร้องโดยกกต. ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยยุบพรรคนั้น ก็ต้องถือว่าหนักเอาการ และคดีนี้หลายฝ่ายมองเห็นตรงกันว่า“รอดยาก”แม้ว่าพวกเขาจะรอดจาก“ดาบแรก”ไปได้ก็ตาม !!
** สรุปความก็คือ ยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอตามคำร้องว่ากระทำผิด จึงให้ยกคำร้อง
สำหรับคดีนี้ นายณฐพร โตประยูร ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ เป็นการใช้สิทธิ์หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไม่
อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า จะว่าไปแล้วคดีนี้หลายคนก็มองเห็นตรงกันแล้วว่า “ยังไม่ถึงขั้นยุบพรรค”แต่ก็ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาก่อน ซึ่งก็ไม่ได้ผิดความคาดหมายเท่าใดนัก แต่ถึงอย่างไรก็สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับพรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะบรรดาแกนนำพรรค ทั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ให้ต้องสงบปากสงบคำลงกว่าเดิมหรือไม่ เพราะคำร้องในความผิดคดีดังกล่าว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวของพวกเขาในอดีตที่ต่อเนื่องกันมา
**โดยเฉพาะท่าทีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีปรากฏทั้งในแบบคลิปภาพและเสียง หลายครั้งหลายครา
หรือแม้แต่ข้อบังคับของพรรคนี้ก็ผิดแผกไปจากพรรคอื่นโดยทั่วไป ที่มีเฉพาะคำว่า“หลักประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ”ไม่มีคำว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งหลังจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะแจ้งไปยังนายทะเบียนพรรคการเมือง ให้พรรคอนาคตใหม่ แก้ไขให้สมบูรณ์ต่อไป ทำให้ต้องมาติดตามกันต่ออีกว่า พวกเขาจะยอมแก้ไข หรือจะมีการเลี่ยงไปใช้คำอื่นหรือไม่ อย่างไร
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งหากพิจารณากันจากความเคลื่อนไหวของบรรดาแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ก็เหมือนกับมีความมั่นใจในระดับหนึ่งแล้วว่า คดีนี้ไม่น่าจะถึงขั้นยุบพรรค เพราะสังเกตได้ว่า แทบจะไม่มีการยื่นใบลาออกจากตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคล่วงหน้าแต่อย่างใด มีเพียงหนึ่งหรือสองคน ที่ยื่นใบลาออกเท่านั้น ซึ่งก็เป็นระดับ“โนเนม”ไม่ค่อยมีความหมายต่อพรรคเท่าใดนัก
อย่างไรก็ดี สำหรับพรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะบรรดาแกนนำพรรคคนสำคัญ เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รวมทั้งคณะกรรมการบริหารพรรค เพราะยังต้องเจอกับ “วิบากกรรม”ในอีกคดีสำคัญนั่นคือ คดี “ปล่อยเงินกู้”ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ไปแล้ว และเมื่อกลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญได้แจ้งให้ผู้ถูกร้อง คือ พรรคอนาคตใหม่ยื่นคำชี้แจงภายใน 15 วัน แม้ว่าในเวลานี้จะครบกำหนดไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า จะมีการขอขยายเวลาออกไปหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ถือว่ามีความคืบหน้าจนใกล้จะนับถอยหลังกันแล้ว
คดีดังกล่าวนี้ มีสาเหตุมาจากการที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไปบรรยายที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ หลังจากมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ไปไม่กี่วันว่า เขาได้ให้พรรคอนาคตใหม่กู้เงินเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้ง โดยตอนนั้นเขาไม่ได้ระบุตัวเลขแน่ชัด แต่ราวๆร้อยกว่าล้านถึงสองร้อยกว่าล้านบาท พร้อมกับระบุว่า เป็นเพราะกฎหมายพรรคการเมืองไม่เอื้ออำนวย หรือกล่าวในทำนองประมาณว่า เป็นผลพวงจาก “ผู้มีอำนาจ”
**แต่กลายเป็นว่าคำพูดดังกล่าว“รัดคอ”ตัวเอง เพราะหากไม่พูดก็คงยังไม่มีใครรู้ และก็ทำให้มีคนไปร้องกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้ตรวจสอบ ว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองฉบับปี 2560 หรือไม่ เนื่องจากในข้อกำหนดเกี่ยวกับการหารายได้ของพรรคการเมือง ไม่ปรากฏว่ามีเรื่องการกู้เงินเอาไว้ด้วย
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากคดี “ปล่อยเงินกู้”ดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องสอบสวนในเรื่องข้อเท็จจริง เพราะในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็มีเรื่องปล่อยเงินกู้จำนวน 191.2 ล้านบาท ปรากฏเอาไว้ด้วย ก็ถือว่าชัดเจนในเรื่องนี้
ดังนั้นสิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อก็คือ“ข้อกฎหมาย”ว่ามีความผิดหรือไม่ อย่างไร ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญคงจะมีขั้นตอนในการพิจารณาอีกไม่นานนัก หลังจากที่ส่งหนังสือไปให้พรรคอนาคตใหม่มาชี้แจง หรือหากมีการขอขยายเวลา ซึ่งก็ต้องมาลุ้นกันว่า ศาลฯจะอนุญาตให้ หรือไม่ แต่ถือว่าน่าจะใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
**อีกทั้งหากพิจารณาจาก “ลำหักลำโค่น”ของคดีปล่อยเงินกู้ ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้กับพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191.2 ล้านบาทที่มีการยื่นคำร้องโดยกกต. ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยยุบพรรคนั้น ก็ต้องถือว่าหนักเอาการ และคดีนี้หลายฝ่ายมองเห็นตรงกันว่า“รอดยาก”แม้ว่าพวกเขาจะรอดจาก“ดาบแรก”ไปได้ก็ตาม !!