ผู้จัดการรายวัน360 - “สมคิด” ลั่นภายในเดือนมี.ค.นี้ หรือไตรมาส 2 ของปีงบประมาณจะดันงบประมาณปี 63 จำนวน 1 ล้านล้านบาท ออกมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ได้ รับเป็นระเบิดใต้น้ำลูกหนึ่งที่มีผลทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินบาทเป็นระเบิดลูกใหม่ จี้เอกชนไทยเร่งลงทุนฉุดบาทอ่อนค่า ด้าน”สุวิทย์”ดันโมเดล BCG พลิกโฉมไทยหลุดพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง "ฐากร" ชี้การประมูลคลื่นความถี่ 5G ช่วยนำเงินเข้ารัฐทั้งหมด 54,654 ล้านบาท
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา 2020 ปีแห่งการลงทุน : ทางออกประเทศไทย ว่า ขณะนี้ไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน โดยปลายปีที่ผ่านมาไทยต้องเผชิญพายุที่เปรียบเสมือนระเบิดใหญ่ 2 ลูก โดยลูกแรกเป็นระเบิดเหนือน้ำที่ส่งออกของไทยลดลงอย่างมากจากสงครามการค้าที่ควบคุมไม่ได้ และลูกที่ 2 คือระเบิดใต้น้ำซึ่งมีหลายลูกรวมกันทั้ง โครงการลงทุนขนาดใหญ่เคลื่อนตัวช้าเกินไป รวมไปถึงงบประมาณแผ่นดินล่าช้า ดังนั้นหลังจากนี้จะมีการผลักดันให้มีการใช้จ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมาย ภายในเดือนมีนาคม หรือไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ จะต้องเบิกจ่ายให้ได้อย่าง 54% หรือ คิดเป็นเม็ดเงินงบประมาณที่ 1 ล้านล้านบาทจากปัจจุบันเบิกจ่ายได้เพียง 23%
“ปกติงบประมาณต้องเริ่มนำมาใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคมของทุกปี ทำให้งบประมาณในไตรมาส 1 ของปีงบ(ตุลาคม-ธันวาคม 2562) ซึ่งอยู่ไตรมาส 4 ปีปฏิทิน ลงไปในระบบเศรษฐกิจน้อยมาก จากนี้จะต้องเร่งงบ ให้เบิกจ่ายโดยต้องเบิกจ่ายให้ได้เป็น 70% ภายในช่วงไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ และ จนสิ้นสุดปีงบประมาณจะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทั้งหมดเพื่อดูแลเศรษฐกิจ”นายสมคิดกล่าว
อย่างไรก็ตามระเบิดลูกใหม่คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องโดยส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ขณะนี้ส่งออกติดลบแต่ การนำเข้าลดลงเพราะไม่เกิดการลงทุนโดยเฉพาะจากเอกชนที่ต่ำมากเพียง 16% ของจีดีพีเท่านั้น จึงเป็นช่องว่างทำให้ค่าเงินแข็ง ดังนั้นหากเอกชนไม่ลงทุนปัญหาเงินบาทก็จะแก้ได้ยากเพราะในส่วนบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เองก็เข้าไปดูแลลำบากส่วนหนึ่งเพราะไม่ต้องการให้ไปขัดกับ currency manipulator ของสหรัฐไม่เช่นนั้นจะยิ่งลำบากมากขึ้น ดังนั้นการลงทุนจึงเป็นทางออกสำคัญเพราะนอกจากจะประคองเศรษฐกิจ ยังทำให้ค่าเงินบาทอ่อนได้ ซึ่งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.)ต้องคิดว่าจะลงทุนอย่างไรและ การลงทุนต้องมองถึงกาเรปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของโลก
“การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)ต้องเป็นไปตามเป้าหมายอีก 2 วันก็จะรู้ผลใครจะลงทุนสนามบินอู่ตะเภา เราก็ต้องทำให้เห็นว่าเกิดได้จริงและสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็ต้องมองการทำงานร่วมกับบีโอไอที่จะวางโครงสร้างให้ไทยในอีก5-6ปีข้างหน้าเรื่อง 5 G ก็ต้องมา และต่อไปเครื่องจักรก็จะมาแทนที่คนมากขึ้นก็ต้องปรับให้ทัน ดังนั้นจึงให้ความสำคัญอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ อุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์(Creative Economy) อุตสาหกรรมเกี่ยวกับเศรษฐกิจฐานราก อุตสาหกรรม BCG เป็นต้น”นายสมคิดกล่าว
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าว หากไม่มีการลงทุน จะไม่สามารถทำให้ประเทศไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลางได้ คำถามคือต้องใช้เวลากี่ปีผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศหรือ GDP ไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หากไทยอยู่ที่ 3 % ต้องใช้เวลามากถึง 23 ไทยจึงต้องคิดใหม่ เป็นการลงทุนเชิงคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ ดังนั้นไทยไทยแลนด์ 4.0 จึงตอบโจทย์โดยเน้นการลงทุนในองค์ความรู้และทรัพยากรมนุษย์ เชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะทำให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าในศตวรรษที่ 21
“ BCG Model คือ Bio Economy, Circular Economyและ Green Economy จะเข้ามาขับเคลื่อนให้ไทยหลุดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง กับดักความเหลือมล้ำ และกับดักความไม่สมดุล เรามองไปข้างหน้า อีก 5 ปี ข้างหน้า ตั้งเป้าว่า จะเพิ่มการจ้างงานเป็น 20 ล้านคน สร้างรายได้ 4.4 ล้านบาท คิดเป็น 24% ของGDP จากนี้ไปมหาวิทยาลัยจะต้องปรับหลักสูตรที่ตอบโจทย์ BCG บีโอไอต้องเข้ามาช่วย ทำให้ BCG ก้าวสู่ระดับโลกได้ ถ้าเราทำให้เกิดการลงทุนแบบนี้ต่อเนื่องไปอีก 10 ปี จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างแท้จริง “นายสุวิทย์กล่าว
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า กสทช.เตรียมเปิดประมูล 5 Gในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ และภายในต้นเดือนมีนาคม 2563 ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอเปอเรเตอร์) ต้องดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ในทันที ทั้งนี้ ที่ผ่านมา แม้จะมีกระแสข่าวว่า ประเทศเพื่อนบ้านจะเปิดให้บริการ 5G แต่ยืนยันว่า เป็นเพียงการเปิดการทดลองทดสอบ 5G เท่านั้น แต่ไทยจะเปิดเป็นรูปแบบเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤษภาคม 2563 คาดว่าจะมีรายได้จากการประมูล จำนวน 54,654 ล้านบาท จากการประมูล 25 ใบอนุญาต และจะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในปี 2563 มูลค่า 177,039 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1.02% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี)
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า บีโอไออยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อออกมาตรการที่ครอบคลุมทั้งผู้ที่ลงทุนอยู่แล้ว และยังไม่ลงทุน หรืออยู่ระหว่างตัดสินใจลงทุนในประเทศไทยเพื่อกระตุ้นการลงทุนตามนโยบายรองนายกรัฐมนตรี