“รอง โฆษก ตร.” รับคลิปเสียง “ผบ.ตร.-รอง ผบ.ตร.”จริง อ้างนั่งอยู่ด้วยตอนคุย ชี้แค่สั่งงานปกติ "บิ๊กป้อม" พร้อมเคลียร์ใจ "บิ๊กแป๊ะ-บิ๊กโจ๊ก" ด้าน “ผบช.สตม.” โต้ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ยัน “ไบโอเมตริกส์” ใช้งานได้จริง-ประสิทธิภาพสูง ขณะที่ "วิระชัย" ยังไม่หยุด ลุยตรวจรถเกิดเหตุด้วยตัวเอง ยอมรับโทรคุย ผบ.ตร.จริง
จากกรณีที่คนร้าย 2 คน ใช้อาวุธปืนยิงรถยนต์ส่วนตัวของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ที่จอดอยู่ตรงข้ามร้านนวด สาริกา มาสสาจ ถ.สุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กทม. เมื่อช่วงเมื่อค่ำวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ระบุว่าสาเหตุมาจากเคยมีหนังสือเสนอยกเลิกโครงการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (ไบโอเมตริกส์) มูลค่ามากกว่า 2 พันล้านบาท สมัยที่เป็น ผบช.สตม.นั้น
วานนี้ (9 ม.ค.) ในสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่คลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นการสนทนาของนายตำรวจใหญ่ ระดับผู้บัญชาการ ที่มีใจความตอนหนึ่งตำหนิปลายสายที่เป็นรองผู้บัญชาการรายหนึ่งว่า ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดียิงรถยนต์ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เพราะดูออกว่าเป็นการทำคดีรับลูก อีกทั้งคดีอยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ที่มีการรายงานมาตลอดอยู่แล้ว พร้อมระบุว่า “โจ๊ก” หลอกใช้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคน
“ให้ พล.ต.ท. มาสั่ง พล.ต.อ. ทำแบบนี้ไม่ใช่ อยู่คนละที่ เพราะอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี” เสียงในคลิประบุ
อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ยอมรับว่าคลิปเสียงดังกล่าวเป็นการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. โดยที่ตนได้นั่งอยู่ด้วย ซึ่งเป็นการกำชับการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติเท่านั้น
"บิ๊กป้อม" พร้อมกาวใจ “แป๊ะ-โจ๊ก”
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้นซึ่งมีการวิเคราะห์กันว่าเป็นความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ว่า “ยังไม่เจอกัน ถ้าเจอกันแล้วจะพูด ตอนนี้ ผบ.ตร.อยู่ต่างประเทศ”
ส่วนเรื่องการจัดซื้อไบโอเมตริกส์ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าเครื่องดังกล่าวมีประสิทธิภาพดี แต่ก็ไม่รู้รายละเอียด
ผบช.สตม.ตอก “โจ๊ก” ข้อมูลมั่ว
อีกด้าน พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.คนปัจจุบัน เปิดแถลงข่าวตอบโต้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ว่า ระบบไบโอเมตริกส์เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานได้จริง ที่ผ่านมาสามารถจับกุมชาวต่างชาติที่ต้องคดี หรือมีประวัติก่ออาชญากรรมที่พยายามหลบหนีเข้าประเทศไทยได้จำนวนมาก จึงถือว่าการนำระบบนี้มาใช้มีความคุ้มค่า สร้างความเชื่อมั่นใจให้นานาประเทศ อีกทั้งป้องกันการทุจริตของเจ้าหน้าที่ได้อีกด้วย ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ในฐานะผู้อนุมัติโครงการ มีเป้าประสงค์เพื่อยกระดับ สตม.ให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมนานาชาติ โดย สตม.พร้อมจะชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ทุกขั้นตอนว่ามีความโปร่งใส
“ระบบไบโอเมตริกส์คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ที่ออกมาชี้แจงก็เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจแก่สังคม และเห็นว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ไม่ควรนำเรื่องระบบไบโอเมตริกส์ไปเชื่อมโยงกับความขัดแย้งส่วนตัว” พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าว
“วิระชัย” รับโทรคุย “จักรทิพย์”
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.) พล.ต.อ.วิระชัย ในฐานะรักษาราชการแทน ผบ.ตร. เดินทางมาร่วมดูแลการตรวจพิสูจน์รถของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ พร้อมเปิดเผยผลการตรวจสอบว่า พบหัวกระสุนเพิ่มอีก 6 หัว รวมก่อนหน้านี้เป็น 8 หัว หลักฐานที่พบภายในรถถือว่าค่อนข้างมีความสมบูรณ์ และจะนำไปตรวจสอบขยายผลเพิ่มเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลเพื่อหาตัวคนร้าย
พล.ต.อ.วิระชัยกล่าวยอมรับด้วยว่าได้มีการรายงานความคืบหน้าของคดีทางโทรศัพท์กับ ผบ.ตร.ที่ขณะนี้อยู่ที่ต่างประเทศ แต่ปฏิเสธขอไม่ตอบในประเด็น ผบ.ตร.สั่งเบรกไม่ให้ทำคดีนี้หรือไม่
“สมัยนี้โทรศัพท์สามารถถูกดักฟังได้ โดยเฉพาะหมายเลขโทรศัพท์ของคนสำคัญ ปัจจุบันสามารถทำได้ง่าย” พล.ต.อ.วิระชัย กล่าว
จากกรณีที่คนร้าย 2 คน ใช้อาวุธปืนยิงรถยนต์ส่วนตัวของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ที่จอดอยู่ตรงข้ามร้านนวด สาริกา มาสสาจ ถ.สุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กทม. เมื่อช่วงเมื่อค่ำวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ระบุว่าสาเหตุมาจากเคยมีหนังสือเสนอยกเลิกโครงการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (ไบโอเมตริกส์) มูลค่ามากกว่า 2 พันล้านบาท สมัยที่เป็น ผบช.สตม.นั้น
วานนี้ (9 ม.ค.) ในสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่คลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นการสนทนาของนายตำรวจใหญ่ ระดับผู้บัญชาการ ที่มีใจความตอนหนึ่งตำหนิปลายสายที่เป็นรองผู้บัญชาการรายหนึ่งว่า ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดียิงรถยนต์ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เพราะดูออกว่าเป็นการทำคดีรับลูก อีกทั้งคดีอยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ที่มีการรายงานมาตลอดอยู่แล้ว พร้อมระบุว่า “โจ๊ก” หลอกใช้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคน
“ให้ พล.ต.ท. มาสั่ง พล.ต.อ. ทำแบบนี้ไม่ใช่ อยู่คนละที่ เพราะอยู่สำนักนายกรัฐมนตรี” เสียงในคลิประบุ
อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้ยอมรับว่าคลิปเสียงดังกล่าวเป็นการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. โดยที่ตนได้นั่งอยู่ด้วย ซึ่งเป็นการกำชับการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติเท่านั้น
"บิ๊กป้อม" พร้อมกาวใจ “แป๊ะ-โจ๊ก”
ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้นซึ่งมีการวิเคราะห์กันว่าเป็นความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ว่า “ยังไม่เจอกัน ถ้าเจอกันแล้วจะพูด ตอนนี้ ผบ.ตร.อยู่ต่างประเทศ”
ส่วนเรื่องการจัดซื้อไบโอเมตริกส์ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าเครื่องดังกล่าวมีประสิทธิภาพดี แต่ก็ไม่รู้รายละเอียด
ผบช.สตม.ตอก “โจ๊ก” ข้อมูลมั่ว
อีกด้าน พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.คนปัจจุบัน เปิดแถลงข่าวตอบโต้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ว่า ระบบไบโอเมตริกส์เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงใช้งานได้จริง ที่ผ่านมาสามารถจับกุมชาวต่างชาติที่ต้องคดี หรือมีประวัติก่ออาชญากรรมที่พยายามหลบหนีเข้าประเทศไทยได้จำนวนมาก จึงถือว่าการนำระบบนี้มาใช้มีความคุ้มค่า สร้างความเชื่อมั่นใจให้นานาประเทศ อีกทั้งป้องกันการทุจริตของเจ้าหน้าที่ได้อีกด้วย ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ในฐานะผู้อนุมัติโครงการ มีเป้าประสงค์เพื่อยกระดับ สตม.ให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมนานาชาติ โดย สตม.พร้อมจะชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ทุกขั้นตอนว่ามีความโปร่งใส
“ระบบไบโอเมตริกส์คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ที่ออกมาชี้แจงก็เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจแก่สังคม และเห็นว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ไม่ควรนำเรื่องระบบไบโอเมตริกส์ไปเชื่อมโยงกับความขัดแย้งส่วนตัว” พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าว
“วิระชัย” รับโทรคุย “จักรทิพย์”
วันเดียวกัน ที่สำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.) พล.ต.อ.วิระชัย ในฐานะรักษาราชการแทน ผบ.ตร. เดินทางมาร่วมดูแลการตรวจพิสูจน์รถของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ พร้อมเปิดเผยผลการตรวจสอบว่า พบหัวกระสุนเพิ่มอีก 6 หัว รวมก่อนหน้านี้เป็น 8 หัว หลักฐานที่พบภายในรถถือว่าค่อนข้างมีความสมบูรณ์ และจะนำไปตรวจสอบขยายผลเพิ่มเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลเพื่อหาตัวคนร้าย
พล.ต.อ.วิระชัยกล่าวยอมรับด้วยว่าได้มีการรายงานความคืบหน้าของคดีทางโทรศัพท์กับ ผบ.ตร.ที่ขณะนี้อยู่ที่ต่างประเทศ แต่ปฏิเสธขอไม่ตอบในประเด็น ผบ.ตร.สั่งเบรกไม่ให้ทำคดีนี้หรือไม่
“สมัยนี้โทรศัพท์สามารถถูกดักฟังได้ โดยเฉพาะหมายเลขโทรศัพท์ของคนสำคัญ ปัจจุบันสามารถทำได้ง่าย” พล.ต.อ.วิระชัย กล่าว