เปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยบรรยากาศแบบที่ต้องเรียกว่า พอๆ กับ “เปิดกล่องแพนโดรา” เอาเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุเพราะเค้าลางแห่งความพินาศฉิบหายวายวอดกันในระดับโลก มันเริ่มปรากฏให้เห็นแบบจะจะคาตา อันเนื่องมาจากผู้นำอเมริกา (ที่เหมาะแล้วในอันที่จะเรียกขานกันในนาม “ทรัมป์บ้า”) ได้ตัดสินใจเปิดกล่องแห่งความพินาศฉิบหายใบนี้ ด้วยมือของตัวเอง ขณะกำลังนั่งรับประทานมีทโลฟ แกล้มกับไอศกรีมอยู่ ณ รีสอร์ต “มาร์-อา-ลาโก” อันสุดแสนหะรูหะราของตัวเอง...
อย่างที่ทราบๆ กันไปแล้วนั่นแหล่ะทั่น...ว่าเมื่อช่วงวันศุกร์ (3 ม.ค.) ที่ผ่านมา ด้วยการตัดสินใจออกคำสั่งโดยตรงจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตามที่กระทรวงกลาโหมอเมริกันให้คำยืนยัน เครื่องบินโดรนของกองทัพอเมริกา ก็บินไปทิ้งระเบิดใส่ขบวนรถของผู้บัญชาการกองกำลัง “Quds Force” ของอิหร่าน “นายพลกัสเซ็ม สุไลมานี” (Qassem Soleimani) ที่กำลังเดินทางไปเยือนประเทศอิรักอย่างเป็นทางการ และโดยเปิดเผยขณะที่ขบวนรถกำลังออกจากสนามบินนานาชาติของกรุงแบกแดด ส่งผลให้ผู้คนในขบวนรถตายไปอย่างน้อย 6 ศพ ซึ่งในจำนวนนี้ มีทั้ง “นายพลสุไลมานี” รวมทั้ง “นายอาบู มาห์ดี อัล-มูฮานดิส” (Abu Mahdi al-Muhandis) รองผู้บัญชาการกองกำลัง “PMF” ของอิรัก หรือกองกำลังที่กองทัพอเมริกันเพิ่งเอาระเบิดไปหย่อนใส่หัว ตายไป 25 ศพ บาดเจ็บอีกเป็นร้อย เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ จนส่งผลให้ชาวอิรักต้องออกมาบุกปิดล้อมสถานทูตอเมริกันในกรุงแบกแดด ดังที่เล่าสู่กันฟังไปแล้วเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา...
การตัดสินใจเล่นงานผู้บัญชาการกองกำลัง “Quds Force” ของอิหร่านในคราวนี้...คงไม่อาจใช้คำพูดอื่นใด นอกซะจากต้องใช้คำว่า “การลอบสังหาร” นั่นแหละ ถึงจะเหมาะสมที่สุด หรืออาจมีอีกคำหนึ่งที่เหมาะสมยิ่งไปกว่านี้ อันเป็นคำพูดที่ชาวอเมริกันด้วยกันเอง อย่างเช่น “นายริชาร์ด แบล็ค” (Richard Black) วุฒิสมาชิกแห่งรัฐเวอร์จิเนีย และอดีตเคยเป็นทหารผ่านศึกอีกซะด้วย หันไปใช้คำว่า “การก่อการร้าย” กันแทนที่ โดยให้เหตุผลรองรับเอาไว้ว่า...ด้วยเหตุเพราะนายทหารอิหร่านอย่าง “นายพลสุไลมานี” นั้น ไม่ว่าใครจะสร้างภาพ จะใส่สีตีไข่กันไปในรูปไหน แต่สิ่งที่มิอาจปฏิเสธได้ก็คือ...ถือเป็นผู้มีบทบาทความสำคัญเอามากๆ ต่อการ “ปราบปรามผู้ก่อการร้าย” โดยเฉพาะพวกไอเอส หรือไอซิสในตะวันออกกลาง การที่กองทัพอเมริกัน หรือประธานาธิบดีอเมริกัน หันมาเล่นงานนายพลผู้นี้ ไม่เพียงแต่เป็นเรื่อง “น่าเศร้า” ในสายตาของวุฒิสมาชิกอเมริกันรายนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดคำถามกับชาวอเมริกันทั้งมวลอีกด้วยว่า “หรือเราไม่ได้คิดจะทำสงครามกับการก่อการร้ายใดๆ เลย โดยเอาเข้าจริงๆ แล้ว...ผมเกรงว่า เรากำลังจะเป็นผู้ก่อการร้ายซะเอง...”
คือโดยสรุปแล้ว...คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “การลอบสังหาร” หรือ “การก่อการร้าย” ของสหรัฐอเมริกาคราวนี้ เกิดขึ้นบนองค์ประกอบต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือ 1. เป็นการตัดสินใจโดยตรงของประธานาธิบดี ที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญการ ในเรื่องการต่างประเทศใดๆ มาก่อนเลย เคยเป็นแค่นักเซ็งลี้ นักธุรกิจที่ออกไปทางกะล่อน ปลิ้นปล้อนซะอีกต่างหาก 2. เป็นการตัดสินใจลอบฆ่า ลอบโจมตีฝ่ายตรงข้ามในดินแดนที่เป็นกลาง หรือในประเทศอิรักไม่ใช่อิหร่าน อันไม่เพียงแต่เป็นการ “ละเมิดข้อตกลงทางทหาร” ระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศอิรักเท่านั้น แต่ยังเป็นการแทรกแซงนโยบายพื้นฐานของรัฐบาลอิรัก ที่เคยประกาศย้ำมาโดยตลอด ว่าไม่ต้องการที่จะให้ประเทศใดๆ ก็ตาม อาศัยดินแดนอิรักเป็นฐานเล่นงานประเทศเพื่อนบ้านโดยเด็ดขาด 3. การตัดสินใจดังกล่าวยังอาจขัดแย้ง แปลกแยกกับกฎหมายของอเมริกาอีกซะด้วย เพราะไม่ว่าจะอ้างเหตุผลใดๆก็ตาม เช่น การกล่าวหาว่านายพลอิหร่านรายนี้คิดจะเล่นงานชาวอเมริกันหรือกองทัพอเมริกัน เลยต้องตัดสินใจ “เด็ดหัว” กันซะก่อน แต่ผลจากการกระทำดังกล่าวย่อมอาจก่อให้เกิด “สงคราม” ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านได้ไม่ยาก หรือไม่ต่างไปจาก “การประกาศสงคราม” กับประเทศใดประเทศหนึ่ง อันเป็นสิ่งที่ควรต้องหารือกับ “สภาอเมริกัน” ไว้ก่อนล่วงหน้า...
หรือดังที่บรรดาสมาชิกพรรคเดโมแครต อย่าง “นายโจ ไบเดน” (Jo Biden) ผู้เตรียมสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปลายปีนี้ ออกมาเปรียบเทียบ อุปมาอุปไมยเอาไว้นั่นแหละว่า การตัดสินใจ “ลอบสังหาร” หรือ “ก่อการร้ายข้ามชาติ” ของผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” คราวนี้...แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “การขว้างระเบิดไดนาไมต์เข้าไปในกล่องวัตถุไวไฟ” และสิ่งที่จะต้องตามมาอยู่แล้วแน่ๆ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย ก็คือการตอบโต้ แก้แค้น เอาคืน ของรัฐบาลอิหร่าน กองทัพอิหร่าน มวลชนชาวอิหร่านทั่วทั้งประเทศ ตลอดไปจนถึงบรรดาชาวมุสลิม “ชีอะห์” ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วภูมิภาคตะวันออกกลาง ไม่ว่าในเยเมน ซีเรีย เลบานอน ปาเลสไตน์ บาห์เรน หรือแม้แต่ในดินแดนแคชเมียร์ของอินเดียและปากีสถาน ที่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องให้แก้แค้น เอาคืน กับการสูญเสียผู้ที่ถือเป็น “สัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ของชาวมุสลิมชีอะห์” ในระดับโลกกันเลยทีเดียว ฯลฯ ฯลฯ
ผลที่จะต้องต่อเนื่องตามมา หลังจากการตัดสินใจของประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้...ถ้าว่ากันตามสายตาของชาวอเมริกันด้วยกันเอง แถมยังเป็นอดีตผู้อำนวยการ “ซีไอเอ” อีกด้วยต่างหาก คือ “นายไมค์ มอเรลล์” (Mike Morell) ได้สรุปเอาไว้ด้วยคำพูดสั้นๆ แต่ฟังแล้วไม่ว่าชาวอเมริกันรายไหน ก็รายนั้น มีสิทธิขนหัวลุก ขนคอตั้งกันไปเป็นแถบๆ นั่นคือ...“รัฐบาลและประชาชนชาวอเมริกัน คงหนีไม่พ้นต้องจ่ายค่าตอบแทน ที่ออกจะมีราคาแพงเอามากๆ” เพราะการตอบโต้ และแก้แค้นเอาคืนที่ว่านั้น มันคงไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะประเทศอิหร่านแต่เพียงรายเดียว บรรดาผู้ที่แค้นแทนอิหร่าน แค้นแทน “นายพลสุไลมานี” แค้นแทน “ชาวชีอะห์” ทั้งหลาย ที่มีอยู่ทั่วทั้งตะวันออกกลาง และแทบจะทั่วทั้งโลก ย่อมพร้อมที่จะก่อการใดๆ ขึ้นมาก็ได้ เพื่อตอบโต้กับ “การก่อการร้าย” ของรัฐบาลอเมริกัน และประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้...
ดังที่สื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” เขาสรุปไว้ในบทบรรณาธิการนั่นแหละว่า ประธานาธิบดีอเมริกันอาจประเมินความรู้สึกของชาวอิหร่าน หรือชาวชีอะห์ “ต่ำไป” เพราะการประกาศแก้แค้นเอาคืนอย่างชนิดต้องเอาให้เจ็บ ให้แสบ (Harsh Revenge) ให้จงได้ของผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ อย่างท่านอิหม่าน “อาลี คาเมเนอี” นั้น คงไม่ใช่แค่คำพูด คำระบายกันไปเป็นพักๆ แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกลึกๆ ระดับลึกลงไปถึงจิตวิญญาณของบรรดาชาวชีอะห์ทั้งหลาย อีกทั้งบรรดาชาวชีอะห์เหล่านี้ ก็ไม่ได้มีอยู่แต่ในประเทศอิหร่าน หรือเป็นคนส่วนใหญ่ในอิรักเท่านั้น แต่ยังแพร่กระจายไปทั่วทั้งตะวันออกกลาง จนอาจต้องหันไปฟังคำเตือนของรองผู้บัญชาการกองทัพ “IRGC” ของอิหร่าน “นายพลโมฮัมหมัด เรซา นัคดี” (Mohammad Reza Naqdi) ที่ออกมาป่าวประกาศหลังการตายของ “นายพลสุไลมานี” ไว้ทำนองว่า “ขอแจ้งเตือนไปยังบรรดาทหารอเมริกันทั้งหลาย จงรีบถอนตัวออกไปจากโลกมุสลิมทั้งมวลซะแต่เนิ่นๆ ไม่งั้น...ก็รอเก็บศพใส่โลงกลับบ้านได้เลย...” ฯลฯ
คือสรุปแล้ว...ไม่ว่าผลที่ตามมามันจะออกมาในรูปไหน แต่อย่างที่ “Global Times” หรือประธานาธิบดี “ฮัสซัน โรฮานี” แห่งอิหร่านได้ว่าไว้ตรงกันนั่นแหละว่า การตัดสินใจสังหารนายพลอิหร่านของประธานาธิบดีอเมริกันคราวนี้ สะท้อนให้เห็นถึง “ความอ่อนแอ” และ “ความล้มเหลว” ของนโยบายต่างประเทศอเมริกาในตะวันออกกลาง ที่ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นอกจากต้องหันไป “ก่อการร้ายข้ามชาติ” กันแทนที่ โดยไม่ว่าการกระทำเหล่านี้...จะช่วยหันเห เบี่ยงเบน “ปัญหาภายใน” ของตัวเอง อันเนื่องมาจากการถูกถอดถอนโดยสภาฯ หรือการคิดเพิ่มคะแนนเสียง คะแนนนิยม ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบใหม่ก็ตามที แต่บรรดาสิ่งเหล่านี้นอกจากไม่ได้ช่วยให้เกิดการฟื้นสถานะบทบาทของอเมริกาในตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ยังทำให้อเมริกามีแต่จะต้องสูญเสียแทบทุกสิ่งทุกอย่างในภูมิภาคนี้ อย่างมิอาจหวนคืนกลับมาได้เลย...