ผู้จัดการรายวัน360-"โฆษกรัฐบาล" โชว์ผลงานเด่น 5 เดือน รัฐบาล "บิ๊กตู่" ครอบคลุม 3 ด้าน เร่งเครือข่ายคมนาคมรถไฟฟ้า-เพิ่มรายได้เกษตร-ช่วยเหลือคนมีรายได้น้อย เผยยังมีอีกเพียบที่เป็นรูปธรรม ให้รอติดตาม "สมศักดิ์"มั่นใจงบประมาณปี 63 ใช้ได้ต้นปี ก็เบาใจเรื่องเศรษฐกิจได้ ค้านก่อม็อบ ทำประเทศชะงัก รับเป็นไปได้สูงรัฐบาลอยู่ครบเทอม "สนธิรัตน์"เชื่อ พปชร. คว้าชัยเลือกตั้งซ่อมสมุทรปราการ-กำแพงเพชร "ธนกร"เย้ย "ธนาธร" แค่นายกฯ ในโพล แต่ลุงตู่ของจริง นายกฯ ในใจประชาชน ด้านกรุงเทพโพลขอรัฐบาลแก้ค่าครองชีพ เศรษฐกิจชะลอตัว วอนนักการเมืองเลิกทะเลาะกัน "กิจสังคมใหม่" เล็งดึง ส.ส.อนาคตใหม่ร่วมก๊วน ลั่นไม่ต่ำกว่า 20 เสียง
น.ส.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลงานเด่นของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลได้ดำเนินโครงการที่เป็นรูปธรรม ขับเคลื่อนนโยบายที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อยกระดับมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ซึ่งได้ดำเนินการไปพร้อมกับการพัฒนาประเทศไปข้างหน้า มีผลงานครอบคลุม 3 ด้านสำคัญ คือ ด้านคมนาคม การเพิ่มรายได้เกษตรกร และการดูแลผู้มีรายได้น้อย แต่ผลงานไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีผลงานที่รัฐบาลกำลังดำเนินงานอีกมาก ซึ่งรัฐบาลจะได้บอกเล่าสู่ประชาชนให้ได้รับรู้และขอให้ติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย
สำหรับผลงานด้านการขยายโครงสร้างคมนาคม ได้ดำเนินการดูแลประชาชนในการเดินทางและลดมลพิษ ด้วยการขยายโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ซึ่งนับเป็นผลงานต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่แล้ว เฉพาะในกรุงเทพฯ มีการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ เช่น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค, บางซื่อ-ท่าพระ) 14 กิโลเมตร (กม.) , สายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) 19 กม. , สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) 22 กม. , สายสีแดงอ่อน (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) 15 กม. , สายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) 26.3 กม. , สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) 34.5 กม. และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) 30 กม. โดยหากรถไฟฟ้าเปิดใช้บริการครบทั้งหมด จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางของคนกรุง ลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล นำไปสู่การลดมลพิษทางอากาศในที่สุด
ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้เปิดทำการอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา ซึ่งสามารถรองรับผู้โดยสารจากทั้งในและต่างประเทศได้ 3-5 ล้านคนต่อปี มีการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน "ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา" ซึ่งจะช่วยยกระดับส่งเสริมการเชื่อมโยงการเดินทางสู่พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อส่งเสริมทั้งภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมในพื้นที่ ทำให้เกิดการจ้างงานและการกระจายความเจริญสู่เศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่โดยรอบอีอีซี
ส่วนการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ได้ดำเนินโครงการรประกันรายได้สำหรับพืชเศรษฐกิจหลักหลายชนิด ซึ่งได้เริ่มจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างตรงเข้าบัญชีเกษตรกรไปแล้ว และมีมาตรการคู่ขนาน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาของสินค้าเกษตร เช่น สินค้าข้าว ได้มีการอุดหนุนปัจจัยการผลิตสำหรับชาวนา โดยช่วยเหลือค่าปลูก 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน ช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน ตลอดจนมีมาตรการสินเชื่อชะลอการขาย สินเชื่อรวบรวมผลผลิต เพื่อช่วยยกระดับราคาข้าว สินค้าปาล์มน้ำมัน ได้มีมาตรการยกระดับราคาด้วยการกำหนดให้น้ำมันไบโอดีเซลบี 10 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วพื้นฐาน ส่งผลให้ราคาปาล์มดิบปรับตัวสูงขึ้น เกิดประโยชน์กับเกษตรกรโดยตรง และไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐบาลเข้าไปพยุงราคา
ทางด้านมาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อย ได้มีมาตรการลดค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เช่น ขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าไม่เกินครัวเรือนละ 50 หน่วย มาตรการช่วยเหลือค่าน้ำไม่เกินครัวเรือนละ 100 บาท ไปจนถึงเดือนก.ย.2563 และยังคงมาตรช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ เช่น ค่าเดินทางเดือนละไม่เกิน 500 บาท ค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเดือนละ 200/300 บาท คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 5% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการ อีก 1% โอนเข้ากองทุนการออมแห่งชาติในนามเจ้าของบัตรสวัสดิการ เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อย ผ่านการพัฒนาทักษะอาชีพ การหางานให้ทำ และการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยมาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อย กำลังอยู่ในขั้นตอนการทบทวนปรับปรุงตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีให้สามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างยั่งยืนต่อไป
"สมศักดิ์"เชื่อรัฐบาลอยู่ครบเทอม
ที่ร้านโกลเด้น เพลส สาขาชวนชม เรือนจำคลองเปรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในปี 2563 ว่า เรื่องเศรษฐกิจในปีหน้าจะได้รับผลกระทบจากทั้งภายในและนอกประเทศมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา และเมื่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ผ่านสภาฯ และใช้ได้ในช่วงต้นปี 2563 ก็จะเบาใจได้
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ยังได้แสดงความคิดเห็นถึงกรณีความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ว่า อยากให้มีการแสดงความเห็นต่างและวิจารณ์กันในภาควิชาการมากกว่า ไม่เห็นด้วยที่จะรวมเป็นกลุ่มก้อน และก่อม็อบ เพราะมีประสบการณ์มาแล้วว่าบอบช้ำกันเท่าไร ส่วนเสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ อาจต้องพูดคุยกันมากขึ้นก่อนพิจารณาญัตติสำคัญ และกรณีของงูเห่า มองว่าเป็นธรรมดาเมื่อมีเสียงปริ่มน้ำ ก็จะเห็นงูเห่าเกิดขึ้นมาได้ เพื่อนฝูงต่างพรรค ก็อาจช่วยกัน จึงไม่ใช่เรื่องใหม่เลย มีเกิดขึ้นมาตลอดในทุกรัฐบาลในอดีต ส่วนที่มีการขับไล่ ส.ส.ออกจากพรรค อาจส่งผลให้เสียงของรัฐบาลที่ปริ่มน้ำอาจสมบูรณ์ขึ้นจากเดิมพอสมควร
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะอยู่ครบ 4 ปีหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นสูตรตายตัวไม่ได้ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะอยู่ครบเทอม และหากเลือกตั้งบ่อย ก็อาจบอบช้ำไปด้วย
"สนธิรัตน์"มั่นใจชนะเลือกตั้งซ่อม 2 เขต
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.กำแพงเพชรและสมุทรปราการ ว่า มีความมั่นใจจะรักษาเก้าอี้เอาไว้ได้ เพราะทั้ง 2 พื้นที่เป็นพื้นที่เดิมของพรรคอยู่แล้ว และหวังว่าจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนใน 2 พื้นที่
"กิจสังคมใหม่"เล็งดึงส.ส.อนาคตใหม่ร่วมก๊วน
นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธรรมไทย กล่าวว่า หลังจากที่พรรคประชาธรรมไทย และพรรคไทยศรีวิไลย์ ประกาศสลายการเป็นพรรคฝ่ายค้านอิสระ เพื่อไปทำงานเป็นฝ่ายรัฐบาล ในนาม "กลุ่มกิจสังคมใหม่" ที่ประกอบด้วย 4 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคพลังท้องถิ่นไท , พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย , พรรคประชาธรรมไทย และพรรคไทยศรีวิไลย์ ทำให้ขณะนี้กลุ่มกิจสังคมใหม่ มีอยู่ 8 เสียง แต่มั่นใจว่าในเร็วๆ นี้ อาจมีเกือบ 20 เสียง หากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ จะมีส.ส.อนาคตใหม่บางส่วนมาอยู่ร่วมสังกัดกับกลุ่มกิจสังคมใหม่ เท่าที่ทราบมีการหารือพูดคุยกันไว้บ้างแล้ว
ส่วนการทำงานของรัฐบาลหลังจากปีใหม่ เชื่อว่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะมีเสียงห่างจากฝ่ายค้านมากขึ้น ถ้ารวมพรรคฝ่ายค้านอิสระ ส.ส.งูเห่า พรรคอนาคตใหม่ 4 เสียง และ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่บางส่วนแล้ว เชื่อว่ารัฐบาลจะมีเสียงเกิน 260 เสียงไปเล็กน้อย ถือว่ากำลังดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพราะถ้ามากเกินไป ก็ไม่ดี
"ธนกร"ยัน "บิ๊กตู่"นายกฯ ในใจคนไทย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า การทำงานของพรรคพลังประชารัฐเพื่อพี่น้องประชาชนในปี 2563 จะเป็นการสานต่อนโยบายเดิมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ และพัฒนาต่อยอดเป็นนโยบายใหม่เพื่อพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ส่วนสถานการณ์การเมืองที่คาดกันว่าจะมีความเข้มข้นขึ้น ทั้งการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และบางพรรคการเมืองพยายามเชิญชวนพี่น้องประชาชนออกมาชุมนุมบนถนน แต่พรรคจะไม่หลงกลเกมยั่วยุ จะมุ่งมั่งทำงาน คิดนโยบาย และต่อยอดสู่การปฏิบัติ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยทั้งประเทศอย่างเท่าเทียม
ส่วนกรณีนิด้าโพล สถาบันนิด้า ได้เผยผลสำรวจความนิยมทางการเมืองยกนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นอันดับ1 ร้อยละ 31.42 อันดับ 2 เป็นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร้อยละ 23.74 นั้น ก็ว่ากันไปตามผลโพล อยู่ที่มุมมอง ซึ่งหลายสำนักโพลก็แตกต่างกันไป ขึ้นบ้าง ลงบ้าง ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร นายธนาธรก็เป็นนายกโพลไป ส่วนพล.ประยุทธ์ ก็เป็นนายกรัฐมนตรีในใจคนไทยต่อไป ทั้งนี้ คนรัก คนไม่รัก เป็นเรื่องปกติในสังคม แต่พล.อ.ประยุทธ์รักคนไทยทุกคน ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์จะมุ่งมั่นทำงานให้พี่น้องคนไทยทุกคนต่อไป
โพลขอรัฐบาลแก้ค่าครองชีพ-เศรษฐกิจ
กรุงเทพโพล โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง "พรปีใหม่ 2563ที่คนไทยอยากขอ" โดยกลุ่มตัวอย่าง1,154 คน พบว่า หากขอพร 1 ข้อ ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวาระขึ้นปีใหม่ 2563 ประชาชนอยากขอให้สุขภาพแข็งแรง ร้อยละ 37.7 ขอให้เศรษฐกิจดีสุดโต่ง ร้อยละ 16.0 ขอให้บ้านเมืองสงบสุข ไม่มีศึกศัตรูรอบข้าง ร้อยละ 11.4 ขอให้ร่ำรวย เจริญรุ่งเรือง ร้อยละ 11.0 และขอให้นักการเมืองเลิกทะเลาะกัน ร้อยละ 10.5
ส่วนของขวัญปีใหม่ 1 ชิ้น ที่อยากขอจากรัฐบาล คือ ขอให้แก้ปัญหาค่าครองชีพ เศรษฐกิจ ข้าวของแพง ร้อยละ 37.5 ขอให้ปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ร้อยละ 17.4 ขอให้ช่วยเหลือเกษตรกร ประกันราคาสินค้าเกษตร ร้อยละ 14.9 ขอนโยบายช่วยเหลือคนยากจน แบบบัตรคนจน เพิ่มเงินช่วยเหลือ ร้อยละ 10.1 ขอให้พัฒนาประเทศ ระบบสาธารณูปโภคให้ดีขึ้น ร้อยละ 8.4 ขอให้ขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ร้อยละ 3.5 ขอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แบบชิมช้อปใช้ ร้อยละ 3.3 ขอนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวแบบ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย ร้อยละ 0.7 และอื่นๆ อาทิ ค้าขายคล่อง ปราบยาเสพติด แก้รัฐธรรมนูญ ร้อยละ 4.2
น.ส.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลงานเด่นของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลได้ดำเนินโครงการที่เป็นรูปธรรม ขับเคลื่อนนโยบายที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพื่อยกระดับมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ซึ่งได้ดำเนินการไปพร้อมกับการพัฒนาประเทศไปข้างหน้า มีผลงานครอบคลุม 3 ด้านสำคัญ คือ ด้านคมนาคม การเพิ่มรายได้เกษตรกร และการดูแลผู้มีรายได้น้อย แต่ผลงานไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีผลงานที่รัฐบาลกำลังดำเนินงานอีกมาก ซึ่งรัฐบาลจะได้บอกเล่าสู่ประชาชนให้ได้รับรู้และขอให้ติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย
สำหรับผลงานด้านการขยายโครงสร้างคมนาคม ได้ดำเนินการดูแลประชาชนในการเดินทางและลดมลพิษ ด้วยการขยายโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ซึ่งนับเป็นผลงานต่อเนื่องมาจากรัฐบาลที่แล้ว เฉพาะในกรุงเทพฯ มีการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ เช่น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค, บางซื่อ-ท่าพระ) 14 กิโลเมตร (กม.) , สายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) 19 กม. , สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) 22 กม. , สายสีแดงอ่อน (บางซื่อ-ตลิ่งชัน) 15 กม. , สายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) 26.3 กม. , สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) 34.5 กม. และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) 30 กม. โดยหากรถไฟฟ้าเปิดใช้บริการครบทั้งหมด จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางของคนกรุง ลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล นำไปสู่การลดมลพิษทางอากาศในที่สุด
ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้เปิดทำการอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ระยอง พัทยา ซึ่งสามารถรองรับผู้โดยสารจากทั้งในและต่างประเทศได้ 3-5 ล้านคนต่อปี มีการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน "ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา" ซึ่งจะช่วยยกระดับส่งเสริมการเชื่อมโยงการเดินทางสู่พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อส่งเสริมทั้งภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมในพื้นที่ ทำให้เกิดการจ้างงานและการกระจายความเจริญสู่เศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่โดยรอบอีอีซี
ส่วนการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ได้ดำเนินโครงการรประกันรายได้สำหรับพืชเศรษฐกิจหลักหลายชนิด ซึ่งได้เริ่มจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างตรงเข้าบัญชีเกษตรกรไปแล้ว และมีมาตรการคู่ขนาน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาของสินค้าเกษตร เช่น สินค้าข้าว ได้มีการอุดหนุนปัจจัยการผลิตสำหรับชาวนา โดยช่วยเหลือค่าปลูก 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน ช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน ตลอดจนมีมาตรการสินเชื่อชะลอการขาย สินเชื่อรวบรวมผลผลิต เพื่อช่วยยกระดับราคาข้าว สินค้าปาล์มน้ำมัน ได้มีมาตรการยกระดับราคาด้วยการกำหนดให้น้ำมันไบโอดีเซลบี 10 เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วพื้นฐาน ส่งผลให้ราคาปาล์มดิบปรับตัวสูงขึ้น เกิดประโยชน์กับเกษตรกรโดยตรง และไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐบาลเข้าไปพยุงราคา
ทางด้านมาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อย ได้มีมาตรการลดค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เช่น ขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าไม่เกินครัวเรือนละ 50 หน่วย มาตรการช่วยเหลือค่าน้ำไม่เกินครัวเรือนละ 100 บาท ไปจนถึงเดือนก.ย.2563 และยังคงมาตรช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ เช่น ค่าเดินทางเดือนละไม่เกิน 500 บาท ค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเดือนละ 200/300 บาท คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 5% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการ อีก 1% โอนเข้ากองทุนการออมแห่งชาติในนามเจ้าของบัตรสวัสดิการ เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อย ผ่านการพัฒนาทักษะอาชีพ การหางานให้ทำ และการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยมาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อย กำลังอยู่ในขั้นตอนการทบทวนปรับปรุงตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีให้สามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างยั่งยืนต่อไป
"สมศักดิ์"เชื่อรัฐบาลอยู่ครบเทอม
ที่ร้านโกลเด้น เพลส สาขาชวนชม เรือนจำคลองเปรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในปี 2563 ว่า เรื่องเศรษฐกิจในปีหน้าจะได้รับผลกระทบจากทั้งภายในและนอกประเทศมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา และเมื่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ผ่านสภาฯ และใช้ได้ในช่วงต้นปี 2563 ก็จะเบาใจได้
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ยังได้แสดงความคิดเห็นถึงกรณีความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ว่า อยากให้มีการแสดงความเห็นต่างและวิจารณ์กันในภาควิชาการมากกว่า ไม่เห็นด้วยที่จะรวมเป็นกลุ่มก้อน และก่อม็อบ เพราะมีประสบการณ์มาแล้วว่าบอบช้ำกันเท่าไร ส่วนเสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ อาจต้องพูดคุยกันมากขึ้นก่อนพิจารณาญัตติสำคัญ และกรณีของงูเห่า มองว่าเป็นธรรมดาเมื่อมีเสียงปริ่มน้ำ ก็จะเห็นงูเห่าเกิดขึ้นมาได้ เพื่อนฝูงต่างพรรค ก็อาจช่วยกัน จึงไม่ใช่เรื่องใหม่เลย มีเกิดขึ้นมาตลอดในทุกรัฐบาลในอดีต ส่วนที่มีการขับไล่ ส.ส.ออกจากพรรค อาจส่งผลให้เสียงของรัฐบาลที่ปริ่มน้ำอาจสมบูรณ์ขึ้นจากเดิมพอสมควร
เมื่อถามว่า รัฐบาลจะอยู่ครบ 4 ปีหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นสูตรตายตัวไม่ได้ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะอยู่ครบเทอม และหากเลือกตั้งบ่อย ก็อาจบอบช้ำไปด้วย
"สนธิรัตน์"มั่นใจชนะเลือกตั้งซ่อม 2 เขต
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.กำแพงเพชรและสมุทรปราการ ว่า มีความมั่นใจจะรักษาเก้าอี้เอาไว้ได้ เพราะทั้ง 2 พื้นที่เป็นพื้นที่เดิมของพรรคอยู่แล้ว และหวังว่าจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนใน 2 พื้นที่
"กิจสังคมใหม่"เล็งดึงส.ส.อนาคตใหม่ร่วมก๊วน
นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธรรมไทย กล่าวว่า หลังจากที่พรรคประชาธรรมไทย และพรรคไทยศรีวิไลย์ ประกาศสลายการเป็นพรรคฝ่ายค้านอิสระ เพื่อไปทำงานเป็นฝ่ายรัฐบาล ในนาม "กลุ่มกิจสังคมใหม่" ที่ประกอบด้วย 4 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคพลังท้องถิ่นไท , พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย , พรรคประชาธรรมไทย และพรรคไทยศรีวิไลย์ ทำให้ขณะนี้กลุ่มกิจสังคมใหม่ มีอยู่ 8 เสียง แต่มั่นใจว่าในเร็วๆ นี้ อาจมีเกือบ 20 เสียง หากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ จะมีส.ส.อนาคตใหม่บางส่วนมาอยู่ร่วมสังกัดกับกลุ่มกิจสังคมใหม่ เท่าที่ทราบมีการหารือพูดคุยกันไว้บ้างแล้ว
ส่วนการทำงานของรัฐบาลหลังจากปีใหม่ เชื่อว่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะมีเสียงห่างจากฝ่ายค้านมากขึ้น ถ้ารวมพรรคฝ่ายค้านอิสระ ส.ส.งูเห่า พรรคอนาคตใหม่ 4 เสียง และ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่บางส่วนแล้ว เชื่อว่ารัฐบาลจะมีเสียงเกิน 260 เสียงไปเล็กน้อย ถือว่ากำลังดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพราะถ้ามากเกินไป ก็ไม่ดี
"ธนกร"ยัน "บิ๊กตู่"นายกฯ ในใจคนไทย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า การทำงานของพรรคพลังประชารัฐเพื่อพี่น้องประชาชนในปี 2563 จะเป็นการสานต่อนโยบายเดิมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ และพัฒนาต่อยอดเป็นนโยบายใหม่เพื่อพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ส่วนสถานการณ์การเมืองที่คาดกันว่าจะมีความเข้มข้นขึ้น ทั้งการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และบางพรรคการเมืองพยายามเชิญชวนพี่น้องประชาชนออกมาชุมนุมบนถนน แต่พรรคจะไม่หลงกลเกมยั่วยุ จะมุ่งมั่งทำงาน คิดนโยบาย และต่อยอดสู่การปฏิบัติ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยทั้งประเทศอย่างเท่าเทียม
ส่วนกรณีนิด้าโพล สถาบันนิด้า ได้เผยผลสำรวจความนิยมทางการเมืองยกนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นอันดับ1 ร้อยละ 31.42 อันดับ 2 เป็นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร้อยละ 23.74 นั้น ก็ว่ากันไปตามผลโพล อยู่ที่มุมมอง ซึ่งหลายสำนักโพลก็แตกต่างกันไป ขึ้นบ้าง ลงบ้าง ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร นายธนาธรก็เป็นนายกโพลไป ส่วนพล.ประยุทธ์ ก็เป็นนายกรัฐมนตรีในใจคนไทยต่อไป ทั้งนี้ คนรัก คนไม่รัก เป็นเรื่องปกติในสังคม แต่พล.อ.ประยุทธ์รักคนไทยทุกคน ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์จะมุ่งมั่นทำงานให้พี่น้องคนไทยทุกคนต่อไป
โพลขอรัฐบาลแก้ค่าครองชีพ-เศรษฐกิจ
กรุงเทพโพล โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง "พรปีใหม่ 2563ที่คนไทยอยากขอ" โดยกลุ่มตัวอย่าง1,154 คน พบว่า หากขอพร 1 ข้อ ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวาระขึ้นปีใหม่ 2563 ประชาชนอยากขอให้สุขภาพแข็งแรง ร้อยละ 37.7 ขอให้เศรษฐกิจดีสุดโต่ง ร้อยละ 16.0 ขอให้บ้านเมืองสงบสุข ไม่มีศึกศัตรูรอบข้าง ร้อยละ 11.4 ขอให้ร่ำรวย เจริญรุ่งเรือง ร้อยละ 11.0 และขอให้นักการเมืองเลิกทะเลาะกัน ร้อยละ 10.5
ส่วนของขวัญปีใหม่ 1 ชิ้น ที่อยากขอจากรัฐบาล คือ ขอให้แก้ปัญหาค่าครองชีพ เศรษฐกิจ ข้าวของแพง ร้อยละ 37.5 ขอให้ปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ร้อยละ 17.4 ขอให้ช่วยเหลือเกษตรกร ประกันราคาสินค้าเกษตร ร้อยละ 14.9 ขอนโยบายช่วยเหลือคนยากจน แบบบัตรคนจน เพิ่มเงินช่วยเหลือ ร้อยละ 10.1 ขอให้พัฒนาประเทศ ระบบสาธารณูปโภคให้ดีขึ้น ร้อยละ 8.4 ขอให้ขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ร้อยละ 3.5 ขอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แบบชิมช้อปใช้ ร้อยละ 3.3 ขอนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวแบบ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย ร้อยละ 0.7 และอื่นๆ อาทิ ค้าขายคล่อง ปราบยาเสพติด แก้รัฐธรรมนูญ ร้อยละ 4.2