xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วยคำอวยพรปีใหม่ 2563 (2020)

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท



ปิดฉากสัปดาห์นี้...ต้องถือเป็นสัปดาห์สุดท้ายของปีคริสต์ศักราช 2019 และพุทธศักราช 2562 เพราะช่วงสัปดาห์หน้า ก็ถือเป็นช่วงปีหน้า ฟ้าใหม่ ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ใกล้ ไม่ไกลนับจากนี้ ด้วยสีสันบรรยากาศในช่วงจังหวะเช่นนี้ คงต้องพยายามควานหาเรื่องที่มันออกไปทางพอช่วยให้เกิดความสบายอก สบายใจ ขึ้นมามั่ง แม้จะเป็นอะไรที่หายาก หาเย็น พอๆ กับหา “หนวดเต่า-เขากระต่าย” ก็ตามที...

คือไม่ใช่แต่เฉพาะประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาเท่านั้น...แต่ต้องเรียกว่า ระดับ “โลกทั้งโลก” นั่นแหละทั่นเอ๋ย ที่ออกอาการแบบที่อภิมหาปราชญ์ชาวอินตะระเดีย ท่าน “รพินทรนาถ ฐากุร” (Rabindranath Tagore) ท่านเคยรจนาเอาไว้เป็นบทโศลก ชื่อว่า “To the Buddha” และนักแปล นักกวี บ้านเรา อย่างคุณแม่ “เรืองอุไร กุศลาสัย” ท่านนำมาพากษ์ มาแปลเป็นไทยๆ โดยขึ้นต้นเอาไว้ว่า “อนิจจาโลกา ณ ครานี้/ช่างเหลือที่ทรหวนปั่นป่วนคลั่ง/ทรมาพยาบาทอาฆาตชัง/กระทบกระทั่งขัดแย้งระแวงใจ/ช่างทารุณกรุ่นกรึงด้วยขึ้งโกรธ/ไม่สิ้นสุดหฤโหดหรือไฉน/วิถีทางโลกาน่าเศร้าใจ/ด้วยบ่วงใยโกงคดกบฏกัน” อะไรประมาณนั้น...

พูดง่ายๆ ว่า...มันไม่ได้เป็นโลกที่น่าอยู่ น่าสบายอก สบายใจ น่าอภิรมย์มากมายสักเท่าไหร่ ตรงกันข้าม...กลับเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าเกลียด น่าทุเรศ น่าเวทนา เต็มไปด้วย “ปัญหา” ชนิดแทบหาเรื่องดีๆ เรื่องสบายๆ มาพูดจาว่ากล่าวในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แทบหาไม่ได้เอาเลยทีเดียวเจียว เท่าที่เขียนๆ เอาไว้ในคอลัมน์นี้ ส่วน

ใหญ่..มักหนักไปทาง “ทรหวนปั่นป่วนคลั่ง” หรือ “ทรมาพยาบาทอาฆาตชัง” ซะทุกทีไป จนตัว “ผู้เขียน” เอง...ก็ชักจะเหนื่อยๆ ชักอ้วกแตก อ้วกแตน ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น...ปิดท้ายสัปดาห์นี้ คงต้องขออนุญาตไปหยิบเอาเรื่องพระ เรื่องเจ้า เรื่องของผู้ที่พยายามเดินตามรอยเท้าของ “พระศาสดา” ในแต่ละองค์ไม่ว่า “พระพุทธเจ้า” หรือ “พระเยซูคริสต์” ที่ได้ออกมาชี้แนะ ชี้นำ ออกมาอวยพร ประทานพร ให้กับใครต่อใครทั้งหลาย เผื่อว่าอาจพอช่วยผ่อนๆ คลายๆ อะไรต่อมิอะไรลงไปได้มั่ง...

สำหรับ “สาวกของพระพุทธเจ้า” อย่างสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ของบ้านเรา...ก็คงพอทราบๆ กันไปบ้างแล้ว ว่า “พรปีใหม่ 2563” ที่ท่านได้ทรงไปหยิบเอาพุทธภาษิตและคติธรรมแบบสั้นๆ ง่ายๆ แต่ออกจะมีความหมายลึกซึ้งเป็นอันมากโดยเฉพาะสำหรับใครก็ตามที่ “ชอบพูด” หรือ “พูดเยอะ” พร้อมจะเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ จ๊อยๆๆ ไปจนถึงวี๊ดๆ แว้ดๆ จนกลายเป็น “วาสนา” หรือเป็นบุคลิกประจำตัวไปแล้วก็ว่าได้ พระสังฆราชบ้านเรา...ท่านเลยต้องให้ข้อคิดสะกิดใจเอาไว้เป็นภาษาบาลีว่า “โมกโข กัลยาณิยา สาธุ” หรือแปลเป็นภาษาไทยประมาณว่า “การเปล่งวาจางาม...ยังประโยชน์ให้เกิดความสำเร็จ” โดยสิ่งเหล่านี้จะเข้าหูซ้าย แล้วทะลุออกไปทางหูขวา ก่อนสูญสลายหายไปกับสายลม หรือไม่ อย่างไร? อันนี้...คงต้องคอยดูกันต่อในปีหน้า ฟ้าใหม่ ปีที่ว่ากันว่า...ไม่ว่าการเมือง-เศรษฐกิจ มันออกจะหนักหนาสาหัสไปด้วยกันทั้งสิ้น สำหรับบรรดาปวงชนชาวไทยทั้งหลาย...

อย่างไรก็ตาม...สำหรับ “สาวกของพระเยซูคริสต์” อย่างสมเด็จพระสันตะปาปา “ฟรานซิส” ผู้ดำรงฐานะเป็นประมุขทางจิตวิญญาณสูงสุดของบรรดาชาวคาทอลิกในโลกใบนี้ ซึ่งน่าจะมีปริมาณไม่น้อยไปกว่า 1.3 พันล้านคนเอาเลยถึงขั้นนั้น การอวยพร ประทานพร ในช่วงปีใหม่ของท่าน เลยอาจต้องมีเนื้อหาครอบคลุม กว้างขวาง ไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปแต่เฉพาะพวกที่ชอบพูด หรือช่างพูด แบบบ้านเราทำนองนั้น พรปีใหม่ หรือสาส์นอวยพรเนื่องในวันคริสต์มาสที่เรียกๆ กันว่า “Urbi et Orbi” หรือสาส์นที่มีไปยังชาวเมืองต่างๆ และชาวโลก (To the City and to the World) ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปา ท่านได้แสดงเอาไว้ ณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ กรุงวาติกัน เมื่อช่วงวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา เลยออกจะเป็นอะไรที่ยาวเฟื้อยเลื้อยลากดิน กว่าพรปีใหม่ของสมเด็จพระสังฆราชบ้านเราอยู่พอสมควร...

แต่โดยหลักใหญ่ ใจความ หรือโดยแก่นสาระ...ท่านก็มุ่งเฉพาะเจาะจงไปที่บางสิ่ง บางอย่าง ซึ่งอยู่ภายในหัวจิต-หัวใจของมวลมนุษย์ในแต่ละคนนั่นแหละ นั่นก็คือสิ่งที่ท่านเรียกว่า “ความดำมืดภายในหัวใจของมนุษย์” ที่ท่านถือเป็นสาเหตุ หรือเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ทั้งปวง อันนำมาซึ่งผลพวงอันน่าเกลียด น่าทุเรศ น่าเวทนาทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการข่มเหงรังแกกันในทางศาสนา ความไม่ยุติธรรมภายในสังคมแต่ละสังคม ความขัดแย้ง

ที่ต้องอาศัยอาวุธเข้าประหัตประหารซึ่งกันและกัน และสิ่งที่ท่านออกจะให้ความสำคัญมิใช่น้อย ก็คือความทุกข์ยากของบรรดาผู้อพยพหลบหนีภัยร้ายๆ จากบ้านเมือง สังคม ของตัวเอง ที่อาจเป็นตัวสร้างความรังเกียจเดียดฉันท์ให้กับบรรดาชาวยุโรป อเมริกา หรือชาวตะวันตกทั้งหลาย และอาจยิ่งเพิ่ม “ความดำมืดภายในหัวใจ” ตัวเอง ให้มืดมนยิ่งขึ้นไปกว่านั้น...

ด้วยเหตุอันเนื่องมาจาก “ความดำมืดภายในหัวใจ” ที่เป็นตัวสร้าง “ความไม่ยุติธรรมในสังคม” ขึ้นมาในดินแดนที่บรรดาผู้อพยพเหล่านี้ ต้องหลบลี้หนีภัย ต้องข้ามน้ำ ข้ามทะเลทราย ต้องฝังร่างไว้ระหว่างทางอย่างน่าสงสาร น่าเวทนา เป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงไม่เพียงแต่เรียกร้องต้องการ วิงวอนขอให้เกิด “สันติภาพ” ขึ้นมาดินแดนต่างๆ ตั้งแต่ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์อย่างเยรูซาเล็ม ไปจนถึงซีเรีย เลบานอน เยเมน อิรัก เวเนซุเอลา ยูเครน ไปจนถึงผู้ที่ถูกข่มเหงทางศาสนาในแอฟริกาอย่างบูร์กินาฟาโซ มาลี ไนเจอร์ ไนจีเรีย ฯลฯ เท่านั้น แต่ยังพยายามเรียกร้องและวิงวอนต่อ “พระผู้เป็นเจ้า” ขอให้ “โปรดทรงช่วยให้หัวใจอันแข็งกระด้างเหมือนก้อนหินของพวกเราทั้งหลาย...อ่อนๆ ลงไปบ้าง เพื่อให้เกิดช่องทางในการแสดงออกถึงความรัก ไปยังพวกเขาและไปยังเด็กๆ ทั้งหลายในโลกนี้ ไปยังผู้ที่ถูกละทิ้ง และผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานต่อความรุนแรงทั้งหลาย ทั้งปวง ฯลฯ”...

เพราะบรรดา “ความดำมืดในหัวใจมนุษย์” ทั้งหลาย...อันนำมาซึ่งปัญหาทางเศรษฐกิจ การเมือง ไปจนถึงสิ่งแวดล้อมโน่นเลยมันสามารถถูกทำให้เจือจาง หรือถูกทำให้สลายหายไปได้ด้วย “แสงสว่างแห่งพระคริสต์” อันมีสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” นี่แหละเป็นแก่นกลาง หรือเป็นแก่นสาระของทุกสิ่งทุกอย่าง โดยที่ควรจะยกระดับให้กลายเป็น “ความรักอันปราศจากเงื่อนไข” ใดๆ อีกซะด้วย มันถึงจะเป็นความรักแบบเดียวกับที่ “พระผู้เป็นเจ้า...ผู้ทรงรักมวลมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม แม้แต่ผู้ที่เลวร้ายที่สุด” และเป็นความรักที่ “พระเยซูคริสต์” ท่านนำมาเผยแพร่ มาสั่งสอน เทศนา จนกลายมาเป็น “ศาสนาคริสต์” นั่นเอง...

แม้ว่า...โดยท้ายที่สุดแล้ว คำอวยพร ประทานพรปีใหม่ ของสมเด็จพระสันตะปาปาคราวนี้ จะเข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกไปทางหูขวา ก่อนสูญสลายหายไปกับสายลมเหมือนอย่างเท่าที่เคยเป็นมาและเป็นไปก็ตามที แต่อย่างน้อย...ฟังแล้วก็น่าจะพอช่วยให้เกิดความสบายอก สบายใจ ได้มั่ง โดยเฉพาะ...สำหรับผู้ที่พยายามมองหา “แสงสว่าง” แม้แต่เพียงเล็กๆ น้อยๆ เพื่อช่วยให้โลกๆ นี้ไม่ต้อง “ทรหวนปั่นป่วนคลั่ง” และ “ทรมาพยาบาทอาฆาตชัง” ยิ่งไปกว่านี้ จนไม่ว่ามนุษย์หน้าไหน สังคมไหน ประเทศไหน หรือศาสนาใดๆ ต่างไม่อาจอยู่ได้ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง...นั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น